ได้พูดให้ฟังในตอนที่ผ่านมาว่า บ้านเมืองของเราขณะนี้ ความเชื่อมั่นถือมั่นในการทำงานของผู้มีหน้าที่ในการบริหารจัดการบ้านเมือง ได้ลดน้อยลงไปทุกขณะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมืองยังไม่มีอะไรให้เห็นในทางที่จะพ้นความวิกฤติต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องความวิกฤติทางเศรษฐกิจ สังคม และทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในขณะที่ความทุจริตคดโกงกลับขยายตัวเพิ่มขึ้นแผ่กระจายไปทั่ว ภายใต้ความร่วมมือของผู้คนบางคนในระบบราชการและนายทุนธุรกิจที่ไม่ดี
วันนี้มาว่ากันต่อ
ถ้าจะว่าไปแล้ว “ระบบราชการ” และ “ระบบการเมือง” มีภาระหน้าที่สำคัญเป็นอย่างมากในการขับเคลื่อนบ้านเมือง บุคคลที่ที่ทำงานอยู่ในระบบดังกล่าวทั้งสองที่ว่านี้ ถ้ากลไกต่างๆในระบบดังกล่าวชำรุด ไม่มีการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็ยากที่งานการที่ต้องทำจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้
ระบบราชการ แม้มีหลายหน่วยงาน หลายกระทรวงทบวงกรม มีข้าราชการในระดับสูงหลายโหล มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีงบประมาณหลายแสนล้านบาท แต่ขับเคลื่อนไม่ออกเพราะขาดประสิทธิภาพภายใต้ระบบราชการที่เฉื่อย บางคนรอเกาะนักการเมืองเพราะหวังไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ เอาตำแหน่งรับใช้นักการเมือง ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา ต่างฝ่ายต่างผลัดกันเกาหลัง ไม่คิดจะปฏิรูปให้ดีขึ้นในทางที่เหมาะสมถูกต้อง แม้จะมีข้าราชการดีๆในองค์กร เป็นข้าราชการที่มีความคิดดี ทำงานดี แต่ก็อ้าปากพูดอะไรไม่ได้เพราะเสียงไม่ดัง หรือเป็นลูกน้อง
การบริหารงานราชการจึงจมปลักอยู่ในวังวนอย่างนี้
ระบบการเมือง ก็เป็นระบบที่ “ฟ้ารู้ ดินรู้ ใครๆ ก็รู้” ว่า ระบบการเมืองที่ต้องล้มเหลวลงเรื่อยๆ ในขณะนี้ก็สืบเนื่องมาจาก “ธุรกิจการเมือง” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง นำมาซึ่งความฉ้อฉล ทุจริตคดโกงในบ้านเมืองก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นแหล่งผลิตนักการเมืองที่คอยหาผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกภายใต้เครือข่ายแห่งอำนาจนิยม
ระบบการเมืองที่มี “ธุรกิจการเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างนี้ มักจะผลิตนักการเมืองแบบ “ร่างทรง”หุ่นกระบอก ตุ๊กตาไขลาน ที่ขาดความรู้ความสามารถ ขาดสติ ขาดวิสัยทัศน์ หรือขาดประสบการณ์ทางการเมืองแบบมืออาชีพ
แม้กระทั่งระบบการเมืองที่อยู่ภายใต้อำนาจที่ได้มาจากการยึดอำนาจก็ตาม จัดอยู่ในประเภทที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองเช่นเดียวกัน การบริหารจัดการบ้านเมืองในระบบอย่างนี้ ปรากฏการณ์ที่ได้เห็นก็คือ “ประชาธิปไตยเทียม”
“ประชาธิปไตยเทียม” ผลักดันกงล้ออำนาจการเมืองให้หมุนวนอยู่กับการใช้อำนาจตามใจชอบ ตามใจที่คนมีอำนาจคิดและต้องการตลอดเวลา ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือละเมิดสิทธิชุมชนได้ง่าย
ก่อให้เกิดการเอา “ประชาชนเป็นเบี้ย” บน “กระดานอำนาจ” ซึ่งเป็นหนทางไปสู่การออกแบบนโยบายต่างๆที่จะนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อน และ “การทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย”
ถ้าได้ติดตามสภาพการณ์ต่างๆในบ้านเมืองขณะนี้แล้ว จะพบว่า การทุจริตคดโกงและการมีผลประโยชน์ทับซ้อนเชิงนโยบายดังกล่าว มีอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคมภาคการเมือง ภาคราชการ แม้กระทั่งในภาคการศึกษา ภาคการเงิน การธนาคาร และภาคธุรกิจเอกชน
คดีที่พบเรื่องทุจริตมากที่สุด 7 อันดับแรก คือ ตกแต่งบัญชี ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือ“ไซฟ่อนเงิน” มีการสร้างต้นทุนเท็จ ให้บุคคลอื่นกู้เงิน โอนกำไรระหว่างกัน โกงภาษีอากร และการใช้ข้อมูลภายในไปหาประโยชน์
ท่ามกลางภาคประชาชนที่ถูกทำให้ต้องสมยอม อีกทั้งระบบการตรวจสอบของรัฐยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร หรือถูกแทรกแซงจากคนที่มีอำนาจ หลายกรณีใช้เวลานานในการเอาผิดทางกฎหมายหรือมีการสร้างเงื่อนไขให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะในเรื่องของการ “แย่งชิงทรัพยากรของสังคม” ไปจากประชาชน เช่น กรณีของผู้รับเหมา หรือผู้ได้รับสัมปทาน ที่ได้จากการมีเครือข่ายกับอำนาจรัฐ ได้จากการวิ่งเต้น เล่นเส้นเล่นสาย จากการจ่าย “ค่าน้ำร้อนน้ำชา”
นี่คือสภาพการณ์ที่กำลังเห็นอยู่ในบ้านเราขณะนี้
โดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่มาจากโครงสร้างในระบบสำคัญๆของบ้านเมือง โดยเฉพาะ “ระบบราชการ” และ “ระบบการเมือง” ที่ยังไม่มีความจริงจังในการปฏิรูป หรือจัดการกันเสียใหม่ให้ดีขึ้น
เพราะไร้ความกล้า ไร้ภาวะผู้นำ แล้วบ้านเมืองของเราก็คงต้องยุ่งยากและวุ่นวายต่อไปไม่รู้จักจบจักสิ้น
ที่ผ่านไปน่าเสียดายเวลาจริงๆ
ฟ้ารู้ ดินรู้ ใครๆก็รู้ ว่าใครทำอะไร
ขอนำพระบรมราโชวาทของ ร.9 ซึ่งเคยทรงให้ไว้ด้วยความห่วงใยในเรื่องความทุจริตไว้ ดังความว่า
“...ที่เมืองไทยพังมามาก เพราะมีการทุจริต ถ้าเศรษฐกิจกำลังขึ้น ทุจริตก็กำลังขึ้น ต้องห้ามไม่ให้มีการทุจริตขึ้น ถ้าทุจริตแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป แต่ถ้าไม่ทุจริต ขอให้ต่ออายุให้ถึง 100 ปี...”
พระบรมราโชวาทขอให้นำไปพิมพ์ตัวโตๆไว้ในที่ทำงานของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองขณะนี้ หรือตามกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ด้วยก็จะดี จะได้คอยเตือนใจ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี