ขณะนี้สงคราม COVID-19 ยกที่ ๑ กำลังเสร็จสิ้นลง หลายคนสนใจที่จะประเมินว่าสงคราม COVID-19 ในครั้งนี้ประเทศไทยประสบชัยชนะแล้วจริงหรือไม่? ผลงานที่ผ่านมาเป็นฝีมือของใคร? จะมีสงครามในยกที่ ๒ อีกหรือไม่? หากมีเราจะรับมือกับยกที่ ๒ อย่างไร? ขณะนี้เราควรเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้วหรือยัง?
บทความนี้ต้องการจะประเมินว่า ผลงานที่ผ่านมาเป็นฝีมือของใคร?
หากจะเปรียบเทียบสงคราม COVID-19 กับสงครามทั่วไปได้ เพราะในการต่อสู้ต้องมีแม่ทัพใหญ่ เสนาธิการ อาวุธยุทโธปกรณ์ ฝ่ายเสบียงและกองหนุนด้านปากท้องเยียวยา ทหารราบแนวหน้าหน่วยกล้าตาย การประเมินความสำเร็จของศึกสงครามจะไม่เป็นธรรมหากพิจารณาให้เป็นผลงานของแม่ทัพใหญ่เสียทั้งหมด หรือพิจาณาในภาพรวมเท่านั้น จำเป็นต้องแยกแยะผลงานในทุกระดับและทุกฝ่าย เพื่อให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนในการต่อสู้กับ COVID-19 ที่จะมีในยกที่ ๒
ประเมินความสำเร็จ ยกที่ ๑
ผลงานในภาพรวมนับว่าประสบความสำเร็จ ให้คะแนนได้เกรด B+
ทั้งนี้ สามารถแยกแยะการประเมินเป็นเรื่องการป้องกันเชื้อโรคและการรักษาได้เกรด A
ส่วนมาตรการเยียวยาและการจัดการทางด้านเศรษฐกิจได้เกรด C+
ระบบการป้องกันและรักษาได้มีการกำหนดแผนงานค่อนข้างสมบูรณ์ แม้ในระยะเริ่มต้น จะมีปัญหาในเรื่องการเลือกปฏิบัติ ระหว่างคนเดินทางเข้าประเทศที่เป็นคนต่างชาติและคนไทย คนต่างชาติไม่ต้องถูกกักตัว ต่างกับคนไทยที่เดินทางกลับบ้านต้องถูกกักตัว ๑๔ วัน มีการเลือกปฏิบัติในการตรวจผู้โดยสารจากต่างประเทศที่มาจากหลากหลายประเทศแตกต่างกัน บางประเทศมีการตรวจวัดไข้แต่มาจากอีกแห่งหนึ่งไม่มีการตรวจวัดไข้ การปิดเมือง ปิดประเทศ หากดำเนินการเร็วกว่านี้ก็อาจจะได้ผลดีมากกว่า
นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นมา การดำเนินการดูจะเป็นระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่เปรียบเสมือนเป็นทหารราบแนวหน้า ต้องเสียชีวิตมากกว่า ๕๐ คน และต้องเจ็บป่วยติดเชื้อมากกว่า ๓,๐๐๐ คน
ส่วนระบบการเยียวยาและการจัดการด้านเศรษฐกิจดูจะสับสน เนื่องจากในยามวิกฤติเช่นนี้ การเยียวยาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคิดเล็กคิดน้อย คิดละเอียด แยกแยะกลุ่มบุคคลที่จะช่วยเหลือ ทั้งอาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ที่มีหลายอาชีพพร้อมกันและนักศึกษาที่ประกอบอาชีพ ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
ในยามวิกฤติเช่นนี้ ควรจะต้องกระจายความช่วยเหลือเยียวยาให้เร็วที่สุดเป็นพื้นฐานไปชั้นหนึ่งก่อน ให้กับทุกคนที่ไม่ได้มีระบบสวัสดิการจากประกันสังคมหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปก่อนเป็นการเบื้องต้น แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยเยียวยาเพิ่มเติมอีกในภายหลัง ก็น่าจะบรรเทาความเดือดร้อนได้ดีกว่า
การประเมินภาพรวมความสำเร็จของไทย จะต้องพิจารณาบริบทแวดล้อมด้วยว่า ประเทศไทยมีความโชคดีที่มีการระบาดของ COVID-19 ตามหลังประเทศอื่น เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากประเทศอื่น การที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนก็คงจะช่วยได้อีกส่วนหนึ่ง
ยิ่งกว่านั้น การที่ประชาชนคนไทยเกิดความตระหนก ประกอบกับความสามารถของคนไทยที่เก่งในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า เอาตัวรอดในยามวิกฤติอยู่แล้ว จึงทำตามคำแนะนำทางวิชาการทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี
ในการประเมินภาพรวม ได้ให้น้ำหนักความสำคัญกับการป้องกันรักษาโรคมากกว่าการเยียวยาและการจัดการทางเศรษฐกิจ จึงให้คะแนนในภาพรวมค่อนข้างสูง
ประเมินแยกแยะผลงานในแต่ละฝ่าย
๑) ประชาชนซึ่งเปรียบเสมือนไพร่พลทหารราบแนวหน้า ให้เกรด A-
ทั้งนี้ เพราะสงครามในยกแรก ประชาชนเกิดความตระหนกมีวินัยใส่หน้ากาก ล้างมือ กินช้อนตัวเองและเว้นระยะห่างทางกาย อย่างไรก็ตาม เราต้องสูญเสียประชาชนที่เสมือนไพร่พลมากกว่า ๕๐ คน และยังมีที่เจ็บป่วยอีกมากกว่า ๓,๐๐๐ คน
๒) สื่อมวลชนกระแสหลัก รวมถึงสื่อโซเชียลมีเดีย และการประชาสัมพันธ์ของโฆษก ศบค. ให้เกรด A-
สื่อมวลชนกระแสหลักต่างระดมสรรพกำลัง และให้เวลากับการเสนอข่าวและมาตรการในการป้องกันรักษา COVID-19 อย่างเต็มกำลัง ทั้งนำบทเรียนจากต่างประเทศ วิชาการความรู้ของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ บทเรียนจากอู่ฮั่น เกาหลีใต้ รวมทั้งอิตาลี มานำเสนอกระตุ้นให้ประชาชนและผู้รับผิดชอบได้ตระหนักถึงทางเลือกในการรับมือกับ COVID-19
โซเชียลมีเดียได้นำเสนอความคิดและทางเลือกต่างๆ นอกจากนั้นประชาชนยังมีส่วนร่วมในการป้องกันและเยียวยาช่วยเหลือซึ่งกัน และกันจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ มีการใช้แอพพลิเคชั่นแบ่งปันและช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ
ศบค. ได้ปรับเปลี่ยนผู้แถลงข่าวจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี โฆษกรัฐบาล มาเป็นโฆษก ศบค. คือ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน และทีมวิชาการที่เตรียมข้อมูลสามารถอธิบายให้กำลังใจและกระตุ้นให้ประชาชนส่วนต่างๆ ปฏิบัติในแนวทางที่สร้างสรรค์
๓) ฝ่ายเสนาธิการในการรบ ได้แก่ ทีมวิชาการทางการแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ ให้เกรด A
ด้วยระบบสาธารณสุขพื้นฐานของประเทศไทย ที่ได้วางระบบไว้ค่อนข้างดี บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความสามารถ และความตั้งใจในระดับสูง ยิ่งกว่านั้นยังมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นอาสาสมัคร(ในสัดส่วน อสม. ๑ คน ต่อ ๑๐ ครอบครัว) ทำให้ระบบคัดกรองกักกันในชุมชนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การกระจายอำนาจ กระจายความรับผิดชอบให้แก่จังหวัด ท้องถิ่น และชุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างกำหนดกฎเกณฑ์ จึงทำให้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างตามสภาพปัญหา
๔) ทีมเศรษฐกิจซึ่งเป็นหน่วยเสบียง และหน่วยเยียวยาความเสียหายในการรบ ให้เกรด C+
ความสับสนในวัตถุประสงค์ที่ซ้อนทับหลายวัตถุประสงค์ ในการเยียวยายามวิกฤติ ก่อให้เกิดปัญหาค่อนข้างมาก การกำหนดคุณสมบัติที่มีความละเอียดค่อนข้างมาก การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสมัคร ขอรับการเยียวยารับเงินช่วยเหลือดูจะซับซ้อนยุ่งยาก
แม้จะมีการระดมมหาเศรษฐี ๒๐ คน มาร่วมคิดร่วมสนับสนุน แต่ดูจะช้าไม่ทันกับปัญหาที่ลุกลาม ขณะที่รัฐบาลยังละเลยการกระตุ้นให้มหาเถรสมาคมนำเงินออมสะสมของประชาชน ที่อยู่ในบัญชีของวัดและพระซึ่งมีจำนวนมาก มาสร้าง
ประโยชน์ช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ในครั้งนี้มีเพียงวัดบางแห่งและพระบางรูปออกมาสงเคราะห์ประชาชนเป็นรายๆ ไป
รัฐบาลขาดการวางแผนและชักชวนให้กองทัพทั้ง ๓ เหล่าทัพ นำทรัพยากรที่มีจำนวนมากมาใช้ประโยชน์ในยามวิกฤติมากเท่าที่ควรจะเป็น
๕) ทีมดูแลความเรียบร้อยจัดระเบียบสังคม ให้เกรด B
การจัดระเบียบระยะห่างทางกาย การห้ามการมั่วสุม การรวมตัวสังสรรค์ การเล่นการพนัน การเดินทางข้ามจังหวัด การห้ามออกจากบ้านในเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) ทำได้ดีพอสมควร แต่ยังมีจุดอ่อนหย่อนยานหลายพื้นที่หลายจังหวัด
๖) แม่ทัพใหญ่ ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกรด C+
ในช่วงสองเดือนแรกของโรคระบาด นายกรัฐมนตรีแสดงออกถึงความสับสน ไม่เข้าใจ ไม่มั่นใจ ในการทำสงครามกับเชื้อโรค แสดงอาการหงุดหงิด เกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด จนสื่อมวลชนและประชาชนนำภาพไปเปรียบเทียบกับผู้นำประเทศต่าง ๆ เช่น เปรียบเทียบกับผู้นำสิงคโปร์ ผู้นำเยอรมนี ผู้นำแคนาดา เพื่อกระตุ้นเตือนผู้นำของเราได้ปรับตัว กล่าวได้ว่าในช่วง ๒ เดือนแรก คือ เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคมแม่ทัพใหญ่ของเราสอบตก
นับแต่เมื่อมีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน แม่ทัพใหญ่ได้หันมาฟังเสนาธิการในการรบ (ทีมวิชาการทางการแพทย์) กับเชื้อโรคมากขึ้น พูดและแสดงความเห็นน้อยลง แต่ให้โฆษกซึ่งเป็นจิตแพทย์เข้าใจจิตวิทยาสังคมได้ดี คือ คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ทำหน้าที่อธิบาย ให้ข้อเท็จจริง กระตุ้นให้กำลังใจสังคมให้ฮึกเหิมป้องกันและอดทน
การยอมรับความรู้ทางวิชาการและความสามารถของฝ่ายเสนาธิการ ทำให้ผลงานของแม่ทัพใหญ่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในภาพรวมดีขึ้นในช่วงท้าย
จะเห็นได้ว่าความสามารถส่วนบุคคลของแม่ทัพใหญ่ อาจจะไม่ได้ช่วยทำสงครามกับเชื้อโรคได้มากนักผู้นำของไทยที่ไม่คุ้นเคยกับการทำสงครามเชื้อโรค ประเทศไทยกลับมีสภาพการที่ดีกว่าผู้นำสิงคโปร์ เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างไม่งดงาม
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี