“นักโทษล้นคุก” เป็นปัญหาที่ถูกพูดถึงมานานหลายปีในประเทศไทยรวมถึงอีกหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ของโทษจำคุกและการก่อสร้างเรือนจำ นั่นคือการปรับปรุงพฤติกรรมผู้กระทำผิดผ่านกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ก่อนจะถึงวันพ้นโทษกลับคืนสู่สังคม เพราะจำนวนผู้ต้องขังมีมากเกินไปเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังนำไปสู่ปัญหาการทุจริตด้วย ดังที่ได้ยินข่าวอยู่เนืองๆ ว่าผู้ต้องขังที่มีฐานะดีหน่อยจะพยายามหาช่องทางให้ตนได้อยู่ในแดนหรือพื้นที่ที่ไม่แออัดมากนัก เพราะความแออัดนั้นเกี่ยวข้องกับสุขอนามัยที่ไม่ดี
ปัญหาเรือนจำแออัดกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งหลายประเทศตัดสินใจเร่งปล่อยตัวนักโทษที่เหลือเวลาจำคุกอีกไม่นานเพื่อให้ภายในเรือนจำมีพื้นที่เหลือเพียงพอให้ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อันเป็นการลดเสี่ยงการระบาดของโรคแต่อีกด้านก็ทำให้บุคคลภายนอกกลัวว่าผู้ที่ถูกปล่อยตัวออกมาจะกลับมาก่อคดีซ้ำ
ทั้งนี้ หนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในการลดปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำคือ “หลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” เป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกแทนการนำผู้กระทำผิดไปจองจำในคุก แต่เป็นการ “ไกล่เกลี่ย” ระหว่างคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย โดยนำมาใช้กับความผิดในคดีที่ไม่ร้ายแรง และนอกจากคู่กรณีแล้ว ยังส่งเสริมบทบาทของชุมชนในการเยียวยาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย
ศ.(พิเศษ)ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)กล่าวว่า ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นั้นเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดจำนวนคดีความ ทั้งยังป้องกัน และแก้ไขปัญหานักโทษล้นเรือนจำ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กระบวนการยุติธรรมในหลายประเทศกำลังเผชิญ นอกจากนี้ แนวคิดดังกล่าวยังสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และหลักทางสาธารณสุขอีกด้วย
โดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้ยกประเด็นความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และร่างคู่มือกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 และปัจจุบัน ได้มีการทบทวน และพัฒนาคู่มือกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ฉบับที่ 2 ขึ้นซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ครอบคลุมเนื้อหาต่างๆ ทั้งตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีในการออกแบบ และประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศ การระดมทรัพยากรในแต่ละชุมชน ตลอดจนเทคนิคต่างๆ ในการสังเกตการณ์ และประเมินโครงการ
“ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักนิติธรรม โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้ผู้เสียหาย ผู้กระทำผิดและผู้แทนชุมชนได้พบปะเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหา โดยผลลัพธ์สุดท้ายคือข้อตกลงในการเยียวยาผู้เสียหาย พร้อมทั้งนำผู้เสียหาย และผู้กระทำความผิดเข้าสู่สังคม ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้สิทธิของผู้เสียหายเป็นพื้นฐานและเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา นอกจากนี้ ยังเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างหลักนิติธรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย” ศ.(พิเศษ)ดร.กิตติพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ “สาธารณชนยังไม่เปิดใจรับเท่าใดนัก” ทำให้แนวคิดยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ขับเคลื่อนได้ช้ามากในระดับโลก ซึ่งอีวอง ดันดูรัน ที่ปรึกษาในการร่างคู่มือความยุติธรรมสมานฉันท์ และนักวิจัยอาวุโสจากศูนย์ปฏิรูปกฎหมายอาญาและนโยบายยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศ (ICCRL) ให้ความเห็นว่า สิ่งที่จะช่วยให้เกิดการยอมรับแนวคิดดังกล่าวในสาธารณะได้คือ การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับข้อดีของหลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ สร้างความมั่นใจให้กับสาธารณะต่อระบบยุติธรรมทางเลือก
“ต้องมีการอบรมสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจ ผู้ที่เป็นด่านหน้าในการดำเนินคดี ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ การใช้หลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไม่มีทางลัด ซึ่งใช้เวลาในการทบทวน และหาวิธีในการดำเนินการ มันจะค่อยๆ สำเร็จไปทีละขั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดเป็นพันธกรณีในระยะยาว เพื่อส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวในวงกว้าง” นักวิจัยอาวุโส ICCPL กล่าว
มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น แคนาดา ด้วยความที่ประเทศมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายของประชากร จึงเป็นประเทศหนึ่งที่นำแนวคิดยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไปใช้ โดย มาริโล รีฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายยุติธรรมทางอาญา กระทรวงยุติธรรมแห่งแคนาดา เล่าว่า ประเทศแคนาดามีหน่วยงานระดับท้องถิ่นในการผลักดันแนวคิดดังกล่าว ทำให้เกิดโปรแกรมที่ส่งเสริมหลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในทุกพื้นที่ของประเทศ โดยคำนึงถึงพื้นฐานคุณค่าของแต่ละชุมชนทั้งในบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ด้าน ทิม แชปแมน ประธานสภาเพื่อการพัฒนาการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์แห่งสหภาพยุโรป กล่าวว่า รัฐบาล และหน่วยงานด้านยุติธรรมของประเทศต่างๆ ควรหันมาศึกษาหลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มากขึ้น เพื่อความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนหลักคิดดังกล่าว เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การนำหลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาดำเนินการควบคู่กับระบบยุติธรรมกระแสหลักช่วยลดจำนวนผู้ถูกดำเนินคดี ลดจำนวนผู้เสียหาย ลดระยะเวลาฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้เสียหาย ลดจำนวนผู้ต้องขัง งบประมาณที่ใช้ในการคุมขังน้อยลง
ถึงกระนั้น ปัจจัยสำคัญของการดำเนินงานดังกล่าวจำเป็นต้องมีการลงทุนจากภาครัฐ ทั้งด้านการสร้างการรับรู้แก่ประชาชน งานด้านการวิจัย และการส่งเสริมความร่วมมือในภาคส่วนต่างๆ นอกจากนี้การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลอย่างจริงจัง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี