ภายในเวลา 3 ปีครึ่ง คนไทยก็ได้เรียนรู้ความเลวร้ายของทรัมป์อย่างมากมาย ยิ่งนานวัน จะเห็นปัญหาของเขามากขึ้น เป็นบทเรียนราคาแพงที่มีผู้นำที่เลวร้าย คิดแต่ให้ตัวเองมีตำแหน่งหรือขอให้ได้รับเลือกตั้งกลับมาใหม่
ในยุคโควิด-19 ยิ่งเห็นชัดการไม่เอาไหนของเขา เป็นปัญหาทำให้ตัวเลขผู้ป่วยของอเมริกายังสูงอยู่ และในรัฐต่างๆ ยังเพิ่มขึ้นล่าสุดมีรัฐกว่า 25 รัฐที่ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และทรัมป์ไม่มีท่าทีวิตกต่อปัญหาอย่างไร ตายไปกว่า 120,000 คนแล้ว
เขาก็ไม่อายที่ทั่วโลกเห็นว่าเรื่องโรคระบาดเป็นปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของเขาเอง ป้ายสีคนอื่นอย่างไร้ความคิด เรียกประเทศจีนเป็นตัวการ ใช้คำว่า Kung Flu เหยียดคนจีนทั่วโลกอย่างไม่ให้มีศักดิ์ศรี ยิ่งไปกว่านั้นผมเห็นใจคนจีนทั้งประเทศที่อดทนกับความไม่มีมารยาทคล้ายคนไร้การศึกษาอย่างทรัมป์ เศร้ามาก
ส่วนถูกอย่างเดียวก็คือ ทรัมป์ และลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเหมือนกัน และทรัมป์ก็อ้างว่า เขามีอะไรคล้ายลินคอล์น ซึ่งต้องพิสูจน์ต่อไป
ท่านที่ได้ติดตามประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า ยุคลินคอล์นกับยุคทรัมป์แตกต่างกันมาก
ในยุคลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคก่อตั้งใหม่ รากของพรรคมาจากพรรควิกส์ (Whigs) มีอิทธิพลจากการเมืองจากอังกฤษ ไม่เหมือนพรรครีพับลิกันของสหรัฐในปัจจุบัน เป็นพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นพรรคของนักธุรกิจ สนใจคนผิวขาว ขวาจัดเป็นหลัก ได้คะแนนจากรัฐภาคใต้ ไม่ต้องการกระจายผลประโยชน์ไปให้คนส่วนใหญ่ แต่กระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยลดบทบาทของรัฐให้เล็กลงและลดภาษีให้คนรวย แถมยังมีแนวโน้มเหยียดผิวด้วย
สมัยลินคอล์นมีส่วนในการสร้างพรรครีพับลิกันเป็นพรรคที่ให้ความเสมอภาคของมนุษย์ เช่น การเลิกทาสเป็นต้น แตกต่างจากแนวคิดการเหยียดผิวของทรัมป์และนโยบายของพรรคในปัจจุบัน
เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของทรัมป์กับลินคอล์นจึงผิดกันสิ้นเชิง ไม่มีอะไรจะทำทรัมป์ก็เอาประวัติศาสตร์มาขายแบบผิดๆ อย่างน่าละอายมาก
และน่าตลกที่คุณจอห์น โบลตันเขียนหนังสือ The Room Where It Happened โจมตีหลายเรื่องในการเป็นประธานาธิบดีที่ล้มเหลวของทรัมป์ หลังจากเขาได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงให้ทรัมป์อยู่เกือบ 2 ปี
ทรัมป์ไม่เคยสนใจอ่านหนังสือของลินคอล์นชื่อ Team of Rivals เพียงจะยกตัวอย่างของโบลตันซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเขาเพราะมีความคิดทางการเมืองและการต่างประเทศแตกต่างจากเขา จึงตั้งโบลตัน เพราะจะได้มีความคิดไม่เหมือนกับทรัมป์และอาจนำไปสู่ความสำเร็จแบบลินคอล์น คือ เอาศัตรูมาเป็นมิตร Team of Rivals ซึ่งไม่จริง ทรัมป์ตั้งคนที่คิดคล้ายๆ เขาเท่านั้น
การเน้นว่าโบลตันมาทำงานเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเมืองเพราะมีความคิดไม่เหมือนเขา ไม่เป็นความเป็นจริง เพราะโบลตันมีแนวคิดนโยบายต่างประเทศขวาจัดอยู่แล้ว ทั้งเรื่องจีน อิหร่าน ซึ่งมีหัวรุนแรง ขนาดจะส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดอิหร่าน ไม่ได้มีความคิดแตกต่างกับทรัมป์เลย
การอ้างว่า เอาศัตรูมาทำงานจึงผิดมากเคยศึกษาจริงหรือเปล่า เลยอ่านหนังสือ Team of Rivals จริงหรือเปล่า
ส่วนลินคอล์นใช้ศัตรูเป็นมิตรเพราะลินคอล์นตัดสินใจนำคู่แข่งในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 4 คน ในช่วง 1860 มาร่วมคณะรัฐมนตรี
-ซูเวิร์ด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
-เชส เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
-เบส เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
-คาเมร่อน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เป็นวิธีที่ลินคอล์นนำมาใช้อย่างฉลาดเพราะทั้ง 4 คนสามารถช่วยทำศึกสงครามกลางเมืองประสบความสำเร็จอย่างน่าภูมิใจ เพราะลินคอล์นมีเวลาบริหารประเทศโดยไม่ต้องพะวงกับคู่แข่ง และคู่แข่งทั้ง 4 คนก็กลับมาช่วยทำงานแบบเป็นทีมเดียวกัน เพราะลินคอล์นบริหารศัตรูอย่างยกย่อง ให้เกียรติและมีศักดิ์ศรีทุกๆ คน ปรึกษาทุกๆ อย่างใกล้ชิดโดยนำความหลากหลาย Diversity มาบริหาร
ที่ผมได้ใช้ในการทำงานปัจจุบันของผม เป็นแนว R และ Dมีหลักการเดียวกับในหนังสือ Team of Rivals ให้เห็นว่า กว่า200 ปี ลินคอล์นก็ใช้แนวทางการเคารพนับถือและยกย่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นหลักการทำงานของผมด้วย
-R-Respect การเคารพนับถือ
-D-Dignity ยกย่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การอ้างว่าโบลตันเป็นศัตรูมาทำงานจึงเป็นข้ออ้างที่ผิด เป็นที่รู้กันว่า ขนาดแม่ของทรัมป์เคยเตือนไว้ว่า ลูกคนนี้ของฉันอย่าได้มีโอกาสเป็นใหญ่ในประเทศ เพราะจะทำให้ประเทศล่มจมอย่างมาก ใน 3 ปีครึ่ง เห็นแล้วว่า ในอเมริกาเป็นอย่างไร ตกต่ำสุดขีด ไม่มีประเทศไหนอยากคบด้วย
เหตุผลที่โบลตันทนไม่ได้ในการกระทำของทรัมป์เพราะเขาอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่พิสูจน์ได้ว่า ทรัมป์พูดและกระทำแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและการเน้นการเลือกตั้งปี 2020 ว่า อยากจะให้ประเทศต่างๆ มาช่วยให้เขาได้รับการเลือกตั้งกลับมาอีกซึ่งเป็นการผิดกฎหมายอย่างแรงในสหรัฐ เช่น ขอให้จีนซื้อสินค้าเกษตรมากขึ้นเพราะฐานเสียงของเขาในรัฐเหล่านั้น ซึ่งผิดกฎหมายในอเมริกา ห้ามประเทศอื่นแทรกแซงการเมือง
ยิ่งกว่านั้นทรัมป์ไม่รู้เรื่อง ไม่ศึกษา ไม่อ่านหนังสือ แต่ชอบฟังโทรทัศน์ โดยเฉพาะ Fox News ซึ่งพูดให้กำลังใจและยังมีความหวัง เพราะโควิด-19 ยังไม่หายไปจากอเมริกา ตรงกันข้ามยังขยายตัวอย่างหนักในรอบแรก เพราะทรัมป์ต้องการเปิดประเทศเน้นเศรษฐกิจ หลังใช้เศรษฐกิจเป็นตัวหาเสียงเลือกตั้งในปี 2020โดยจะกระตุ้นเศรษฐกิจทุกรัฐซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ป่วยของอเมริการอบแรกยังไม่มีท่าทีจะลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นกว่า 25 รัฐ
แต่ยังไม่กลัวโรคระบาดของเมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมาที่ทรัมป์ไปปราศรัยหาเสียงโดยไม่ใส่หน้ากากอนามัยทำให้ผู้ช่วยทรัมป์ติดเชื้อแล้ว 10 คน แต่ทรัมป์ไม่แคร์ เดินหน้าหาเสียงต่อไปใช้โอกาสเพื่อตัวเอง ไม่ได้มองถึงประชาชนที่จะติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นประธานาธิบดีที่คิดแต่ตัวเอง ไม่ได้มองที่ประชาชนอเมริกันทั่วไป
ที่เศร้ามากไปกว่านี้คือ ทำงานโดยไม่เคยศึกษาอะไรที่เป็นแก่นสาร แต่กลับมาบอกว่า เขาเป็นประธานาธิบดีคล้ายลินคอล์นเพราะลินคอล์นเน้น Law and Order (กฎหมายและคำสั่ง) ซึ่งแปลว่า ใช้กำลังจัดการผู้ประท้วง ทั้งๆ ที่ผู้ประท้วงใช้วิธีการตามรัฐธรรมนูญอย่างสันติวิธี
ในหนังสือ Team of Rivals ที่ผมได้อ่านอย่างละเอียดและศึกษามาดี ไม่เคยมีครั้งใดที่ประธานาธิบดีลินคอล์นใช้ความรุนแรงแบบที่ทรัมป์พูด เพราะลินคอล์นเป็นนักการเมืองที่เน้นความเสมอภาคของเชื้อชาติโดยเฉพาะคนผิวขาวและผิวดำ
การเลิกทาสคือสงครามกลางเมืองไม่เกี่ยวกับการจัดการรุนแรงต่อผู้ประท้วง Law and Order แบบที่ทรัมป์ทำอยู่ การที่เขาบอกว่า เขาเหมือนลินคอล์น เขาใช้ความรุนแรงจึงผิดจากลินคอล์นที่ใช้ความรุนแรงในสนามรบเพื่อเลิกทาสเท่านั้น เป็นเพียงต้องการให้มีความเสมอภาคในอเมริกา ลินคอล์นจึงเป็นบุคคลแรกที่เน้นความเสมอภาคในคนผิวสีต่างๆ ในสหรัฐ ไม่เคยเป็นผู้นำที่ใช้ความรุนแรง ยกเว้นในภาวะสงครามเท่านั้น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี