จากสภาพปัญหาการระบาดของ COVID-19 ประเทศไทยจัดการกับการระบาดของเชื้อโรคได้ดี
แต่ขณะเดียวกัน ก็เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และต่อจากนั้นก็จะกระทบสังคมและการเมืองอย่างรุนแรงตามมา อย่างแน่นอน
1. ประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนที่สูงมากๆ
ผลกระทบของ COVID-19 ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั่วโลก เมื่อสนามบินต้องปิด เกือบทุกประเทศปิดเมืองหยุดกิจกรรม ประชาชนขาดรายได้การส่งออกของไทยจึงลดน้อยถอยลงเหลือเพียง 3 ใน 4 ของมูลค่าที่เคยส่งออก ส่วนการท่องเที่ยวก็จะเหลือแต่ไทยเที่ยวไทย รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศจึงเกือบเป็นศูนย์
ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค และอาจจะฟื้นตัวได้ยากลำบาก หาก
ไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดี
2. นับแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน 3 เดือน ของการปิดกิจการภายในประเทศ ผู้คนในภาคอุตสาหกรรมพาณิชยกรรมและการบริการทยอยตกงาน ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ก็มีภาคการเกษตรและการผลิตอาหาร
ผู้ที่ประสบปัญหาน้อย คือผู้ที่มีเงินเดือนประจำเช่น บรรดาข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและพนักงานเอกชน ส่วนแรงงานอิสระผู้จ้างงานตนเองเมื่อต้องหยุดงานจะขาดรายได้
คนทำงานอิสระก็มีรายได้เสมือนคนรับน้ำฝน ถ้าฝนดีก็ได้น้ำมาก แต่เมื่อฝนแล้งถ้าไม่ได้กักเก็บน้ำใส่ตุ่มใส่แท็งก์ก็จะขาดน้ำ เหมือนคนทำงานอิสระ ผู้จ้างงานตนเองที่ไม่ออมเงินก็จะต้องเดือดร้อนลำบาก ต่างกับคนทำงานที่มีเงินเดือนประจำ เสมือนผู้ใช้น้ำประปาที่มีน้ำไหลมาเป็นประจำและถ้ามีน้ำเก็บไว้ด้วย คือมีเงินออมก็จะประสบปัญหาน้อย
ขณะนี้คนทำงานอิสระจำนวนมากอาศัยเงินที่รัฐแจกเดือนละ 5 พันบาท เงินดังกล่าวกำลังจะหมดลงในเร็วๆนี้ เมื่อผู้บริโภคขาดรายได้ก็ขาดกำลังซื้อ
บริษัทห้างร้านหลายแห่งในขณะนี้ ก็อยู่ได้ด้วยเงินออมของบริษัท หากมีสายป่านยาวก็ยังพออยู่ได้ แต่นับวันก็ลดน้อยถอยลง และในอีก 1-3 เดือนข้างหน้า ก็จะต้องปิดตัวเองลงอีกมาก ผู้คนจะว่างงานมากขึ้น
3. ขณะนี้ ผู้ที่กู้หนี้ยืมสิน สามารถยืดเวลาชำระหนี้ออกไปได้บ้าง แต่อีก 3 เดือนข้างหน้า ก็จะถึงเวลาต้องชำระหนี้ สถานการณ์เช่นนี้ คงจะมีการผิดนัดชำระหนี้หรือเป็นหนี้เสียจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบสภาพคล่องของสถาบันการเงินอย่างแน่นอน
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้มีข้อกำหนด ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลและห้ามมิให้ซื้อหุ้นของธนาคารตัวเองคืน ทั้งนี้เพื่อรักษาปริมาณเงินสำรองของธนาคาร ที่อาจจำเป็นต้องใช้ในอนาคต
4. หากจะเปรียบเทียบวิกฤติครั้งนี้กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 วิกฤตการณ์ครั้งนี้น่าจะหนักหนาสาหัสมากกว่า
ในปี 2540 เรามีวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ค่าเงินบาทสูงค่าเกินจริง เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ สินทรัพย์มีค่าสูงกว่าความเป็นจริงทำให้เกิดหนี้เสีย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จนสถาบันการเงินหลายแห่งต้องล้มลง
แต่ครั้งนี้เศรษฐกิจถูกกระทบจากโรคระบาด ส่งผลกระทบต่อการผลิต การติดต่อทั้งในประเทศและระหว่างประเทศส่งผลให้เกิดการหยุดการจ้างงาน มีการว่างงานมากผู้คนขาดรายได้ ขาดกำลังซื้อ ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ทั้งของผู้ประกอบการและของครัวเรือน ซึ่งก็อาจส่งผลกระทบสถาบันการเงินต่อไปได้
ยิ่งกว่านั้น หากจะเปรียบเทียบกับวิกฤติครั้งนี้กับวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ในครั้งนั้นปัญหาเกิดขึ้นกับประเทศไทยและประเทศอื่นไม่กี่ประเทศ แต่ครั้งนี้ปัญหาเกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น เพราะประเทศของเราอาศัยรายได้จากการส่งออกและการท่องเที่ยวของคนต่างชาติ
5. ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งนี้ หลายคนเกรงว่าจะเกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เหมือนที่เคยเกิดในปีค.ศ. 1930 หรือพ.ศ. 2473 ซึ่งเกิดความยากลำบากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก จนส่งผลกระทบต่อปัญหาสังคมและการเมืองและในประเทศไทยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
หากจะเปรียบกับสถานการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บ้านเมืองถูกทำลาย ก็อาจจะคิดไปได้ว่าสถานการณ์สงคราม COVID-19 น่าจะร้ายแรงน้อยกว่า แต่หากดูในรายละเอียดก็จะเห็นว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลกระทบกับประเทศ
บางประเทศเท่านั้น แต่สงคราม COVID-19 เกิดกระจายทั่วโลก
6. เมื่อคนส่วนมากยากจนมีรายได้ฝืดเคือง ปัญหาสังคมย่อมจะตามมา
อาชญากรรม การจี้ ปล้น ฆ่า ก็อาจจะมีจำนวนสูงมากขึ้น แน่นอนย่อมจะกระทบชีวิตและความสุขของคนไทยอย่างหลีกหนีไม่พ้น
7. โรคระบาด COVID-19 ยังอยู่กับโลกไปอีกนาน แม้สถานการณ์ในขณะนี้ของประเทศเราจะดี แต่ในหลายประเทศก็ระบาดอย่างหนักหน่วง ประเทศของเราจะเปิดประเทศก็ยากลำบาก ตราบใดที่โลกยังไม่สามารถค้นพบและผลิตวัคซีนป้องกันได้ ปัญหาจึงจะอยู่กับเราไปอีกนานอาจเป็นปีหรือหลายปี
ถ้าผลิตวัคซีนได้อย่างเร็วก็ใช้เวลาเป็นปี แต่ก็อาจจะไม่สามารถค้นพบและผลิตวัคซีนได้ ดังเช่นวัคซีน HIV ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มี หรือวัคซีนไข้เลือดออกแม้ปัจจุบันจะค้นพบได้แต่ก็พบว่าเมื่อนำมาใช้มีผลข้างเคียงเป็นอันตรายจึงต้องระงับการใช้
ถึงแม้จะผลิตวัคซีน COVID-19 ได้สำเร็จก็จะมีปัญหาเรื่องปริมาณวัคซีนที่ผลิตได้ จะไม่ทันความต้องการของคนทั่วทั้งโลก ปัญหาที่ตามมาก็คือใครจะได้วัคซีนก่อน ประเทศไหนจะได้ก่อน คนสูงอายุหรือคนหนุ่มสาวควรได้ก่อน คนประกอบอาชีพอะไร เพศไหน และมีสถานะทางสังคมอย่างไรจะได้ก่อน
บริหารแผ่นดิน บริหารเศรษฐกิจในยามลำบาก
ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นต้นไป ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจะทยอยส่งผลมากขึ้นๆ
จำเป็นต้องสำรวจความพร้อมของการบริหารเศรษฐกิจบริหารแผ่นดินในยามวิกฤติ
1) ขณะนี้ประเทศไทย ยังขาดทีมมืออาชีพในการบริหารเศรษฐกิจ คนไทยยังสับสนไม่รู้ว่า เมื่อทีมของรองนายกฯสมคิดออกไป ใครจะเข้ามา จะมีทีมมืออาชีพที่มีประสบการณ์กล้าแข็งพอที่จะรับมือกับวิกฤติที่หนักหน่วงในครั้งนี้ได้หรือไม่
ขณะเดียวกัน เรากำลังเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคนสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจในภาค
การเงิน สถาบันการเงินและเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะเป็นใครก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าขณะนี้ต้องขยายเวลาการเปิดรับสมัครผู้จะเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกอีก
2) ประเทศของเรามีผู้นำประเทศที่เป็นทหารสืบเนื่องจากการยึดอำนาจ มีรัฐสภาก็สามารถทำงานได้เพียงส่วนเสี้ยวเดียว
ความเชี่ยวชาญ ความเข้าใจปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของผู้นำประเทศ ประชาชนยังไม่มั่นใจ
หากจะเปรียบเทียบนายกฯคนปัจจุบัน กับนายกฯที่เข้ามาบริหารวิกฤติต้มยำกุ้ง คือ นายกฯ ชวน หลีกภัย ก็จะเห็นได้ว่า นายกฯชวน แม้จะเป็นนักกฎหมาย อาจไม่เข้าใจเศรษฐกิจดีมากนัก แต่การเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดิน เพระเคยเป็นรัฐมนตรีและอยู่ใน ครม. มาแล้วมากมายหลายครั้ง
ซึ่งต่างกับนายกฯปัจจุบัน ที่เป็นผู้นำทหาร ที่บังเอิญต้องเข้ามาสู่อำนาจในตอนแรกเริ่ม และตามติดใจในอำนาจจนถึงปัจจุบัน
3) สมัยรัฐบาลชวน ในการกู้วิกฤติต้มยำกุ้ง รัฐบาลมีทีมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ (รมว. คลัง)
พิสิฐ ลี้อาธรรม (รมช. คลัง) ศุภชัย พานิชภักดิ์ (รองนายกฯ) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (สำนักนายกฯ) และคนอื่นๆ
จำได้ว่า รมต. คลัง ได้จัดระดมความคิด ความเห็นถึงแนวทางการแก้วิกฤติจากนักวิชาการสำนักต่างๆ จากข้าราชการและนักธุรกิจ โดยแต่ละครั้งปรึกษาหารือเป็นกลุ่มเล็กๆ เข้าพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ที่รู้ก็เพราะเคยได้รับเชิญและถูกขอให้ช่วยประสานงานให้นักวิชาการเศรษฐศาสตร์เข้าระดมความเห็นอยู่หลายครั้ง
การได้รับฟังข้อชี้แนะจากผู้รู้ต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์เปิดโลกทัศน์ของผู้กำหนดนโยบาย และการมีส่วนร่วมของผู้คนก็จะทำให้คนเข้าร่วมรู้สึกดี รู้สึกเป็นเจ้าของนโยบายและผลงานที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางความคิดย่อมเกิดแน่นอน ระหว่าง คุณธารินทร์ ดร.ศุภชัย คุณอภิสิทธิ์ ทั้งเรื่องวิธีการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการคงไว้ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเพื่อรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ตกต่ำลงไปอีก
และสุดท้ายเมื่อสัมฤทธิผล ผู้กำหนดนโยบายก็จะต้องเจ็บตัว เจ็บใจ เพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เสียประโยชน์ซึ่งเป็นของธรรมดาในยามวิกฤติ
สุดท้ายที่เป็นห่วง
รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการจัดทัพ เพื่อสู้กับสงครามเศรษฐกิจ COVID-19 ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม อย่างน้อยได้รับรู้ว่าแม่ทัพด้านการคลัง แม่ทัพด้านการเงิน คณะเสนาธิการผู้กำหนดยุทธศาสตร์สู้รบ คือใคร
รัฐบาลต้องระดมความรู้ความคิดจากผู้รู้ในประเทศ และชักชวนคนไทยที่อยู่ต่างประเทศผู้มีความสามารถให้กลับมา
ช่วยคิดช่วยฟื้นฟูประเทศ
รัฐบาลต้องกำหนดทิศทางให้ชัดว่าหาก COVID-19 กลับมาระบาดในรอบ 2 รัฐบาลจะประสานแนวทางการรับมือทางสุขภาพและเศรษฐกิจสังคมอย่างไร
อย่าปล่อยให้คนไทยรู้สึกว้าเหว่ มองไม่เห็นอนาคต ไม่เชื่อมั่นทิศทางการบริหารประเทศ
อย่าให้คนไทยรู้สึกเพียง เป็นผู้คอยรับกรรม รับผลกระทบ จงอยู่เฉยๆ ปล่อยให้นายกฯและคณะซึ่งจะเป็นใครก็ไม่รู้เป็นผู้จัดการเอง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี