ถ้าสังเกต... จะเห็นว่า ก่อนวันนัดชุมนุมใหญ่แต่ละครั้ง มักจะมีการเล่นประเด็นสงครามข่าวสารการเมืองมาจากต่างประเทศ แล้วนำมารับต่อในโลกออนไลน์ ปั่นกระแสกันมือเป็นระวิง และจากนั้นก็ขยายไปสู่สื่อสารมวลชนในเครือข่ายของคณะปลดแอกและค่ายสีส้มที่แกนนำปอดแหกไม่กล้านำม็อบด้วยตัวเอง
1. กรณี สส.ในสภาเยอรมันอภิปรายพาดพิงถึงพระมหากษัตริย์ไทย ปรากฏว่า นายปิยบุตรแสงกนกกุล และเครือข่าย นำมาโหมกระพือ ปั่นกระแสกันต่อ ขานรับด้วยกองทัพซอมบี้สีส้มว่าขานต่อๆ กันไป เพื่อดิสเครดิตสถาบัน
เรื่องนี้ ดร.ศุภณัฐ Suphanat Aphinyan ตั้งข้อสังเกตไว้แหลมคม ระบุว่า
“#ขบวนการล็อบบี้โจมตีสถาบันในสภาเยอรมัน
วันที่ 7 ตุลาคม ดร.ฟริธอฟ ชมิดต์ ซึ่งเป็น สส.ฝ่ายค้านจากพรรคกรีน ได้ลุกขึ้นพาดพิงถึงประเทศไทยด้วยความคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น ระหว่างการถามตอบกับ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี
1.พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด
ข้อเท็จจริง: พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด
2.รัฐบาลทหารยุบพรรคอนาคตใหม่หลังการเลือกตั้ง
ข้อเท็จจริง: พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบเพราะทำผิดกฎหมายการเงินของพรรคการเมืองโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
3.มีการใช้คำว่ารัฐบาลทหารพาดพิงรัฐบาลไทยทุกคำพูด
ข้อเท็จจริง: หลังการเลือกตั้งไม่ใช่รัฐบาลทหารแล้ว
4.พรรคไทยรักษาชาติเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด
ข้อเท็จจริง: พรรคไทยรักษาชาติไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด
5.มีการใช้อำนาจปฏิเสธบุคคลไม่ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ข้อเท็จจริง: การประกาศดังกล่าวเป็นการเตือนสติบุคคลในราชวงศ์ให้รักษาจุดยืนอยู่เหนือการเมืองและมีความเป็นกลาง ถือเป็นความถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยและธรรมเนียมปฏิบัติสากลของระบอบ Constitutional Monarchy หรือ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
จึงเป็นข้อสงสัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่ามีการล็อบบี้อยู่เบื้องหลังหรือไม่? เพราะมูลนิธิของพรรคกรีนอย่าง Heinrich Böll Stiftung มีการให้บริการล็อบบี้จากข้อมูลอ้างอิงของ Lobby
Facts ภายใต้ Corporate Europe Observatory และ LobbyControl ของสหภาพยุโรป
โดยการพูดของ ดร.ฟริธอฟ ชมิดต์ มีลักษณะเป็นการพาดพิงที่มีความคลาดเคลื่อน แสดงถึงความไม่รู้จริงและปราศจากการศึกษาหรือการเตรียมตัวที่ดี เพื่อมานำเสนอต่อสภาอย่างมีคุณภาพ ในขณะที่คำตอบของ รมว.ต่างประเทศเยอรมนี ก็ไม่ได้มีความชัดเจนมากพอที่จะนำไปสู่ท่าทีของรัฐบาลเยอรมันแต่อย่างใด เพราะถ้ามีการกระทำใดๆที่ขัดต่อหลักการ รัฐบาลเยอรมันน่าจะมีท่าทีที่ชัดเจนออกมาตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีการนำประเด็นดังกล่าวมาขยายความต่ออย่างบิดเบือนให้ดูมีความรุนแรง และดูราวกับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่โต โดยกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนไหวโจมตีสถาบันฯ เช่น นายอานนท์ นำภา, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นต้น
ดังนั้น สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมด น่าจะเป็นเพียงแค่การล็อบบี้ให้มีบทพูดพาดพิงดังกล่าวเกิดขึ้น เพื่อนำมาปั่นกระแสข่าวบิดเบือนโจมตีสถาบันฯ อย่างที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้ พรรคกรีนเคยออกมายอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มล็อบบี้สายโปรนิยมร่วมเพศกับเด็กในอดีต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรณรงค์ให้สามารถมีเพศสัมพันธ์กับเด็กได้อย่างถูกกฎหมายอีกด้วย”
2. กรณีข่าวที่ว่า ทวิตเตอร์ (Twitter) ออกมาเปิดเผยข้อมูล เรื่องการตรวจจับผู้ใช้งานที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไอโอ (information operations) โดยระบุว่า ไทย ติดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศ (อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย คิวบา รัสเซีย และไทย) ที่พบบัญชีที่ใช้งานในลักษณะเป็นไอโอให้กับกองทัพ 1,594 บัญชี ในครั้งนี้ และอ้างว่าในไทยโดนระงับการใช้งานไปแล้ว 926 บัญชี นั้น
พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า กองทัพบกมีการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อการประชาสัมพันธ์งานของกองทัพ โดยเฉพาะงานช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติต่างๆเท่านั้น ยืนยันกองทัพบก ไม่มีนโยบายทำทวิตเตอร์อวตารเพื่องานไอโอ
ข่าว ไอโอ กองทัพ 926 บัญชีนั้น น่าประหลาดใจมาก หากลองพิจารณาว่า
2.1 ปัจจุบัน ข่าวสารในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ เวลที่มีแฮชแท็กกันนั้น ทุกครั้งฝ่ายใดสามารถยึดกุมพื้นที่ไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ? ชัดเจนว่า คือ ฝ่ายปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล ต่อกองทัพ
กระทั่งนายธนาธรเอง ก็ได้ชื่อว่าเป็น “นายกฯ โซเชียล”
ยิ่งกว่านั้น การปั่นกระแสแฮชแท็กในลักษณะไล่ล่า คุกคาม บอยคอตต์คนโน้นคนนี้ ก็ล้วนมาจากฝ่ายผู้สนับสนุนนายธนาธรและคณะปลดแอก ซึ่งก็ปรากฏว่า ยอดรีทวีต หรือยอดปั่นกันในออนไลน์ กับยอดของมนุษย์จริงๆ ที่แสดงออกในโลกความจริงนั้น ต่างกันราวหน้ามือกับหลังตีนเช่น ยอดระดมพลมาชุมนุมกับยอดชุมนุมจริง หรือแม้แต่สินค้าที่ถูกปั่นบอยคอตต์ล้วนแต่ขายดี เช่น หนังมู่หลาน ห่อหมกแม่คุณม้า ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ฯลฯ
2.2 ก่อนหน้านี้ ดร.นพดล กรรณิกา ออกมาแฉว่า การปั่นกระแส ของฝ่ายคณะปลดแอก อย่างเช่น “ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส” นั้น มีบัญชีช่วยปั่นกระแสจากต่างประเทศเกือบ 90% ของยอดแฮชแท็กทั้งหมด นั่นหมายความว่า มีขบวนการปั่นจากต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงปลุกปั่นการเมืองในไทย กว่า 10 ล้านบัญชี
ล่าสุด รัฐมนตรีดีอีเอส พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ก็ยืนยันว่า กระแสที่ปั่นๆ กันทางการเมืองนั้น กว่า 70-80% มาจากต่างประเทศ “รู้สึกแปลกใจที่ทวิตเตอร์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้
และโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ แทนที่จะดำเนินการตามคำสั่งศาลของกฎหมายไทยที่ได้มีคำสั่งให้ปิดกั้น หรือลบบัญชีของผู้ที่โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันหลักของไทย
ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองได้ส่งคำสั่งศาลไปแล้ว แต่ทวิตเตอร์ยังเพิกเฉย ไม่ทำการลบให้ จำนวน 65 รายการ และอีก 1 ชุด ที่กำลังจะส่งไปเพิ่มเติม อีกจำนวน 253 รายการ ทั้งนี้ จึงขอเรียกร้อง
ไปยังทวิตเตอร์ ให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลและเคารพกฎหมายของไทยอย่างจริงจัง เพื่อแสดงความจริงใจในการทำงานที่โปร่งใสของทวิตเตอร์เอง”
2.3 ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้เขียนบทความตีแผ่ “จินตนาการกล่าวหาว่าเป็น IO ของกองทัพ อคติไม่กล่าวถึงขบวนการล้มเจ้าบนโลกไซเบอร์” บางตอนระบุชัดเจนเลย
“..ผมทราบดีว่ามีขบวนการล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ ใช้เงินทุน มีนายทุนและดำเนินการอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ใช้การตลาดดิจิทัล และใช้ความรู้ด้านวิทยาการข้อมูล (Data Science) และการตลาดดิจิทัล จำนวนมากมายมีทั้งที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก หรือนักรบไซเบอร์ตัวเล็กตัวน้อยที่เป็นตัวอวตารอยู่มากมาย ตลอดจนมีการสร้างเนื้อหาโดยนักเขียนและสื่อมวลชนชั้นนำ และอินโฟกราฟิกต่างๆ ตลอดจนมีวอร์รูมที่ประชุมกันทุกเช้า และทำ social listening อย่างเข้มข้น... ผมพูดเรื่องนี้มาสองปีกว่า ผมก็ไม่เห็นหน่วยราชการเหล่านี้จะขยับอะไรเลย
หนึ่ง คือ ทำไม่เป็น ไม่มีความรู้ความสามารถทางเทคนิคเพียงพอ
ในขณะที่อีกฝั่ง ใช้ Data Science ใช้ AI เขียน Robot เพื่อแทนนักรบไซเบอร์ และยิงเนื้อหาล้มเจ้าหรือปฏิกษัตริย์นิยมกันรัวๆ บนโลกออนไลน์ ใช้การตลาดดิจิทัลอย่างได้ผล ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าหน่วยราชการไทย โดยเฉพาะกองทัพ/หน่วยงานความมั่นคง/หน่วยงานการข่าว ไม่มี know how พวกนี้ ยังล้าหลัง และทำเรื่องเหล่านี้ไม่เป็น เพราะผมพยายามให้ศึกษาว่าอีกฝั่งใช้วิธีการอย่างไรแล้วทำอย่างไร
ที่ผมเห็น คือ มีกลุ่มประชาชนที่ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ บางคนพยายามจะทำไอโออย่างที่ว่าเอง แน่นอนว่าก็แชร์เนื้อหาจากเพจของทางราชการ โดยเฉพาะของกองทัพเองหรือจากเพจฝั่งตรงข้ามก็ทำเพื่อ counter อีกฝั่ง โดยการติเตียนเนื้อหาของอีกฝั่ง อย่างไรก็ตาม มีลักษณะที่ต่างคนต่างทำ เครื่องมืออุปกรณ์ ความรู้ด้านวิทยาการข้อมูลและการตลาดดิจิทัลก็ไม่มี ทุนก็ไม่มี แล้วก็ไม่ได้สามัคคีกันทำ ผลก็คือไม่ได้ผล ไม่เกิดผลใดๆ สร้าง engagement ไม่ได้ ไม่มีคนแชร์ คอมเมนต์เท่าที่ควร จริงๆ คือไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะประชาชนกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล สนับสนุนทหาร และสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ เหล่านี้ลุกขึ้นมาสร้าง twitter account เพื่อต่อสู้ตามที่ตนเชื่อและสนับสนุนกันเอง แต่ไม่ได้มี cyber war room ที่จะกำหนดกลยุทธ์การสู้ให้เป็นเอกภาพ เป็นระบบ อย่างที่ฝั่งปฏิกษัตริย์นิยมทำอยู่มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผลก็เป็นดังบทวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่กล่าวว่า ผลการดำเนินการ IO (Information operation) ของฝั่งกองทัพ มี twitter account ที่เกี่ยวข้องมากมาย ทำแล้วไม่มีผลกระทบอะไร เพราะไม่มีคนกดไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ ส่วนใหญ่เป็น twitter account ปลอมๆ อวตาร ที่ไม่มีใครสนใจ เอาเงินภาษีมาใช้แล้วไม่ได้ผล
บทวิเคราะห์ของ Stanford internet observatory- Cyber policy center ในรายงานชื่อ Cheerleading Without Fans: A Low-Impact Domestic Information Operation by the Royal Thai เขียนโดย Army Josh A. Goldstein, Aim Sinpeng, Daniel Bush, Ross Ewald, Jennifer John โดยมี Technical support ของ David Thiel ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่ามีคนไทยด้วย เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2020 นั้น ผมคิดว่ามีอคติมากหลายประการและเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน (Hypothesis) ที่หลักฐานยังไม่แน่นหนาพอที่จะโยงหรือกล่าวหาว่าเป็น IO ของกองทัพด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
ประการแรก ไม่ได้วิเคราะห์อีกฝั่งคือฝั่งปฏิกษัตริย์นิยมเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ประสบความสำเร็จกว่ามากมายหลายเท่า มีคนติดตามมี engagement ดีมาก มีคนเชื่อมากกว่ามาก มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ และมีความเชื่อมโยงในเชิงตัวบุคคล และในเชิงการเงินที่ชัดเจนกว่ามาก ทำไมจึงเลือกวิเคราะห์เพียงฝั่งเดียวและเขียนเนื้อหาโจมตีฝั่งเดียวอย่างจงใจขนาดนี้ มีการรับงานหรือรับเงินทุนวิจัยมาจากไหนหรือไม่?
ประการที่สอง ในบทวิเคราะห์อาศัยการเชื่อมโยงที่แสนจะตื้นเขินมากว่า twitter account เหล่านี้ที่เป็น IO ของกองทัพ โดยเชื่อมโยงแค่การแชร์เนื้อหาจากเพจที่เป็นทางการของกองทัพซึ่งมีหลายเพจ การวิเคราะห์ตื้นเขินขาดการโยงในตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของบัญชี กับความสัมพันธ์ระหว่าง admin ของบัญชีของกองทัพ ถือว่าเป็น social network analysis ที่มี edge หรือเส้นโยงที่บางมาก จนหาเหตุผลหรือความสัมพันธ์ว่าเป็น IO ของกองทัพไม่ได้เลย สิ่งที่ต้องนำมาใช้เป็น edge ที่จะโยงได้ว่าเป็นของกองทัพจริงๆ ควรเป็น ความสัมพันธ์ระดับบุคคลระหว่าง
โนด (node) และเส้นทางการเงิน การยึดโยงแค่เส้นทางการแชร์ข้อมูลต่อกันนั้นบางเกินไป
ประการที่สาม เนื้อหาข่าวสารที่แชร์ระหว่าง IO กับบัญชีของกองทัพ ไม่ได้เป็นข่าวที่จะโจมตีฝั่งที่โจมตีรัฐบาลหรือโจมตีฝ่ายปฏิกษัตริย์นิยมทั้งหมด ทั้งยังแชร์จากแหล่งข่าวของฝั่งตรงข้ามอีกมาก และแชร์เนื้อหาจากสื่อมวลชนอื่นๆ ทั่วไป อีกเป็นจำนวนมาก ไม่มีการผลิตเนื้อหาเองเท่าที่ควร บางเนื้อหาเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นเรื่องที่คนสนใจโดยทั่วไป เช่น ข่าวการระบาดของโควิด-19 ข่าวการยิงหมู่ที่โคราช ซึ่งใครๆ ก็แชร์กันอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะ IO จะแชร์ แต่เหมานับรวมเข้าไปว่าแชร์จากเพจหรือบัญชีของกองทัพ ทั้งๆ ที่เป็นการแชร์เรื่องทั่วๆ ไปก็กล่าวหาว่าเป็น IO ของกองทัพ ถ้าเช่นนั้นผมแชร์เนื้อหาอะไรจากพรรคการเมืองบางพรรค นักการเมืองล้มเจ้าบางคน อานนท์จะมิกลายเป็น IO ของพวกล้มเจ้าหรือพวกปฏิกษัตริย์นิยมไปด้วยหรือ ทั้งๆ ที่ผมอาจจะแชร์มาเพื่อลากไส้ด่าแหลกก็ได้ การวิเคราะห์เครือข่ายสังคมแบบนี้เป็นการวิเคราะห์ที่ตื้นเขินมากและเต็มไปด้วยข้อบกพร่องทางวิชาการ
ประการที่สี่ Twitter account เหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็น IO ของกองทัพ แต่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ฝ่ายต่อต้านกองทัพ และฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้
ผมเองทราบว่า มีคนพยายามทำเช่นนี้มาก สิ่งที่เห็นชัดมากคือ IO ตามที่มหาวิทยาลัย Stanford วิเคราะห์นั้น ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก็เพราะว่าต่างคนต่างทำกันเอง ไม่มีกลยุทธ์ ไม่มีเงินทุนมาจ้าง เลยออกมาห่วยไม่ได้ผล ถ้ากองทัพจ้างจริงๆ แล้วทำได้แค่นี้ ก็ควรไปร้องเรียนสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินให้เข้ามาตรวจการใช้เงินเถิดว่าทำไมใช้เงินงบประมาณได้อย่างไร้ประสิทธิภาพมากที่สุด
ประการที่ห้า ผมประเมินศักยภาพของกองทัพในการทำ IO แบบสร้างเนื้อหา ใช้การตลาดดิจิทัล หรือใช้วิทยาการข้อมูล ตลอดจน social listening, social network analysis, natural language processing ผมคิดว่ากองทัพและหน่วยงานความมั่นคงหรือการข่าวของไทย ยังไม่ได้เก่งกาจพอที่จะทำได้จริงๆ อย่างที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาล/ฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำเรื่องพวกนี้อยู่ ผมยืนยันว่าคนเหล่านี้เก่งและมีศักยภาพสูงกว่าข้าราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้มาก ผมเลยไม่มีความเชื่อว่าจะทำได้เท่าใดนัก แต่หากจะทำอย่างน้อยก็จะมีเอกภาพ ไม่สะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง อย่างที่ได้มีการวิเคราะห์กันในครั้งนี้ เพราะในทางการทหาร สามารถสั่งและมีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน และมีการรวมศูนย์อำนาจมากกว่านี้มาก
ประการที่หก ถึงแม้หากกองทัพจะทำ IO จริงๆ ก็ทำได้ และควรต้องทำด้วย เพื่อ counter กับฝั่งปฏิกษัตริย์นิยม เพราะการไปไล่จับกุม ไม่มีทางชนะ นี่คือสงครามชิงมวลชนต้องมีปฏิบัติการจิตวิทยาบนโลกไซเบอร์ให้ได้ผลจริงๆ ต่อต้านกับอีกฝั่ง ทั้งนี้เพราะการใดอันเป็นภัยความมั่นคงต่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นหน้าที่และพันธกิจของกองทัพเช่นกัน หากกองทัพปล่อยให้เกิดการทำลายองค์อธิปัตย์ ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดินเยี่ยงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ย่อมแปลได้ว่ากองทัพทำหน้าที่บกพร่องอย่างร้ายแรง เพราะกองทัพมีหน้าที่เพื่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน สิ่งที่กองทัพต้องไม่ทำ IO คือการไปcounter ต่อต้านฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องการเมืองและกองทัพต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด
ขอฝากกองทัพให้ไปคิดว่า ควรทำหน้าที่ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์แล้วหรือไม่หรือจะแค่กลัวต่างชาติกล่าวหาว่าทำ IO แล้วไม่ทำอะไรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนเกิดความแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นหรือ?”
ทั้งหมด สะท้อนชัดเจนว่า ฝ่ายกองทัพซอมบี้สีส้มโน่นต่างหาก ที่กำลังใช้ประโยชน์จากการทำไอโออย่างเป็นล่ำเป็นสัน โจมตีอย่างเป็นระบบ รุนแรง บอยคอตต์ บูลลี่ คุกคามคนอื่นๆ ผสมโรงจากต่างประเทศ หวังพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน กดดัน สร้างภาพลวง เสียงสะท้อนหลอกๆ ตามแบบฉบับสงครามยุคใหม่ ที่คนไทยควรตระหนักและรู้เท่าทัน
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี