รายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เชิญวิทยากรมาถกเถียงกันเรื่อง “พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561” ได้แก่ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ อ.นิด้า และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำคณะราษฎร 2563 ซึ่งเป็นผู้อ่านแถลงการณ์ที่อ้างว่าปฏิรูปกษัตริย์ และนำยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึงพระมหากษัตริย์ด้วย
หลังจากนั้น ปรากฏว่า มีการพูดคุย กล่าวขานถึงเนื้อหารายการดังกล่าวอึงมี่
เพราะคนที่ไปร่วมรายการ คือ แกนนำม็อบที่ออกมานำขบวนโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยในการชุมนุมมีการเขียนข้อความ ขึ้นป้าย ปราศรัย จาบจ้วงล่วงละเมิด ใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาในหลวงสารพัดเรื่อง รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยฝ่ายผู้ชุมนุมทำประหนึ่งว่าพวกตนรู้ดี เข้าใจประเด็นเรื่องถ่องแท้ ถึงขนาดกล้าเสนอให้ปฏิรูปสถาบันหลักของชาติ พวกตนเข้าถึงข้อมูลความจริงเชิงลึกมากกว่าพวกสลิ่ม พวกไดโนเสาร์ พวกหมอบกราบคลานเข่า หรือที่เรียกกันว่า ผ่านการเบิกเนตรมาแล้ว
1. ปรากฏว่า ในระหว่างถกเถียงในรายการ แกนนำม็อบได้สะท้อนความเขลา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจในเรื่องที่ตัวเองอวดรู้ออกมาอย่างล่อนจ้อน หมดเปลือก
แยกไม่ออกแม้กระทั่งงบประมาณแผ่นดิน กับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
แยกไม่ออกแม้กระทั่งความเป็นเจ้าของทรัพย์สิน กับผู้บริหารจัดการทรัพย์สิน
แกนนำม็อบที่เที่ยวชักจูงคนให้ออกมาทวงคืนทรัพย์สินกษัตริย์ ปฏิรูปกษัตริย์ พอถูกโต้แย้ง หรือชี้แจงโดยข้อมูลที่แน่นหนา จากผู้รู้จริง ก็พบว่าแกนนำที่ปากเก่งบนเวทีม็อบ หรือเวลาออกสื่อพูดข้างเดียวกันนั้น กลับเห็นแต่อคติ วาทกรรมที่จำขี้ปากเขามา และล้นปรี่คือความอวดรู้ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ผิดเพี้ยนอย่างไม่น่าให้อภัย
น่าอายแทนคนที่ยังหลงเชื่อ เผลอไปยกยอปอปั้น หนุนส่งคนพรรค์อย่างนี้ให้เคลื่อนไหวชุมนุม ปิดถนน สร้างความเกลียดชัง สร้างความวุ่นวาย ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนคนทำมาหากินเช้าค่ำ เพราะไม่มีคนส่งเงินให้ใช้อย่างพวกแกนนำเหล่านี้
2. มีการตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจมากมาย หลังรายการดังกล่าวออกอากาศ
2.1 คุณ Olan Kamdee วิเคราะห์น่าสนใจมาก บางตอนระบุว่า
“รายการจอมขวัญนับว่าเป็นรายการที่เปิดเปลือยข้อขัดแย้งและวาทกรรมในสังคมช่วงนี้ได้หลายประเด็นนอกเหนือจากการ debate เรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
1. วาทกรรมผู้ใหญ่ไม่เปิดใจรับฟังเสียงเรียกร้องของเด็กและเยาวชน อาจารย์อานนท์ทำให้สังคมรับรู้ว่า วาทกรรมนี้ไม่จริง เพราะอาจารย์ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่(ที่เด็กๆคงเชื่อว่าเป็นไดโนเสาร์สลิ่ม) รับฟังและอธิบายแต่ละประเด็นด้วยภาษาที่ง่ายๆ(ง่ายกว่าชีวิตการทำงานและการเรียนจริงเสียอีก)
2. วาทกรรมเด็กสมัยนี้มีความคิดก้าวหน้าไปไกลมากเกินกว่าผู้ใหญ่จะตามทันรายการจอมขวัญเมื่อคืนและการเสนอความคิดของเด็กอาจจะก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่ความรู้พื้นฐานที่มีนั้นไม่มั่นคงจนไม่อาจคาดหวังได้ไกลกว่าการสร้างอนาคตของชาติเลย เอาแค่ผ่านการสอบให้ได้โดยไม่ถูกรีไทร์ก็นับว่ายากแล้ว
3. สื่อมวลชน ที่มักจะอ้างว่าทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและมีวิจารณญาณนั้นเป็นเพียงวาทกรรมเพื่อรักษาสถานภาพเท่านั้น จอมขวัญอาจมีความคิดนิยมชมชอบและสนับสนุนฝ่ายใดก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่เมื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางก็ไม่ได้ตระหนักถึงการรักษาหน้าที่สื่อมวลชนได้เลย
4. สื่อมวลชน เมื่อทำหน้าที่เป็นกลางต้องศึกษาหาความรู้ให้มากและชัดเจนมากเพียงพอที่จะตั้งคำถาม และทำความเข้าใจและนำความเข้าใจที่เหมาะสมนำเสนอต่อสังคม
5. แกนนำมวลชนที่ชื่นชมกันว่ามีความรู้ความสามารถมีอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคมนั้นคือของปลอม พื้นฐานความรู้มีน้อยมาก การเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อนำเสนอแบบชัดเจนไม่มีเลย นอกจากนั้น การที่ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อมูลที่เตรียมมาอย่างเดียว เมื่อคู่ debate อธิบายกลับมาก็ยังไม่ได้ฟังหรือรับฟังด้วยซ้ำ
6. ที่น้องรุ้งพอจะได้ยินได้ฟัง “คำสอน”ของอาจารย์ ได้เปิดเผยตัวตนของความเป็นเด็ก ให้เห็น เช่น การตั้งคำถามบางข้อ เพื่อขอคำอธิบาย ราวกับว่า ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน (ซึ่งนับว่าดีมากหากอยู่ในห้องเรียน ไม่ใช่แกนนำม็อบ ความเป็นเด็กของน้องรุ้งถึงกับสารภาพเองด้วยว่าได้รับโพยข้อเสนอ 10 ข้อก่อน ขึ้นเวทีปราศรัยไม่นานนัก และเครียดจนต้องอัดบุหรี่แก้เครียด นั่นแสดงว่าข้อเสนอและกระบวนการมวลชนประท้วงก็น่าจะรับโพยมาเช่นกันแบบตกบันไดพลอยโจน
7. อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และคณะอื่นๆที่น้องรุ้งเรียนนั้นต้องได้รับการตำหนิมากที่สุดในฐานะที่เป็นผู้ทำลายระบบการศึกษา อาจารย์ต้องให้ความรู้ที่เป็นแนวทางการรวบรวมข้อมูล การสังเคราะห์ข้อมูล และการนำเสนอการวิเคราะห์ที่เป็นระบบตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้ แต่กลับเอออวยยกยกว่าเป็นเด็กเก่ง เด็กกล้าหาญ ซึ่งความกล้าหาญคงจะมี แต่ความเป็นเด็กเก่งนั้นคงยังไม่ใช่ ในระดับที่เป็นแกนนำมวลชนเพื่อการประท้วง ยิ่งไปกว่านั้นยังสนับสนุนให้เด็กออกไปอยู่แถวหน้า รับความเสี่ยงทางกฏหมายเอาเอง ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายก็ลอยตัวดูลูกศิษย์เข้าคุก หรืออย่างมากก็แถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วย ซึ่งก็ปลอดภัยอยู่ดี
8. สื่อมวลชน ผลักดันเด็กออกไปรับภาระแทนตัวเอง ทำลายเด็กหลายๆคนด้วยการยกยอปอปั้น ผู้หญิงผู้ทรงอิทธิพลในทัศนะของ BBC จึงเป็นของปลอมโดยผู้ใหญ่ทำร้ายเด็ก นอกจากรุ้งแล้ว การได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ประวัติศาสตร์ไทยของเพนกวิ้นในรายการเกมโชว์ทางทีวี ไม่ใช่เป็นเครื่องการันตีความสามารถของเด็ก แต่เป็นเพียงสินค้าทางธุรกิจบันเทิง
9. ผู้ใหญ่ใน Social Media พยายามบอกว่าเราต้องฟังเสียงเด็กที่ออกมาประท้วง แต่ก็ไม่มีผู้ใหญ่ออกมาแนะนำหรืออธิบาย ให้เด็กเข้าใจ ได้แต่ด่าส่ง และอวยเด็กตามน้ำกันไป หลายๆ คนเป็นครูอาจารย์ นักวิชาการ นักธุรกิจ ก็ยังอวยเด็ก
กันไปเรื่อย เพื่อสนองอารมณ์ของตัวเอง แต่ไม่ได้สำนึกสำเหนียกเลยว่า การอวยเด็กแต่ไม่อธิบายให้ชัดเจนมันทำให้กระแสความเข้าใจที่ผิดๆนั้นกระจายออกไปเร็วและเป็นวงกว้าง ส่วนพวกที่ด่าเด็กก็ด่ากันเอาเป็นเอาตาย อีกพวกหนึ่งคือเด็กที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจมากไปกว่าน้องรุ้งก็เฮตามๆกันไป
10. นักการเมือง ที่อยู่เบื้องหลังนั้น เป็นผู้ที่สมควรได้รับการก่นด่าสาปแช่งมากที่สุด เพราะนอกจากจะทำลายเด็กอย่างโหดร้ายแล้ว ยังทำร้ายสังคมไทยอย่างเลือดเย็นมาก นักการเมืองนั้นสมควรถูกด่าทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน ฝ่ายต่อต้านจะจ้องแต่ใช้กำลัง ฝ่ายสนับสนุนจะชักใยอยู่เบื้องหลังก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หากต้องการให้เด็กในระบบการศึกษาไทยก้าวไปข้างหน้า ต้องจริงใจจริงจังกับการส่งมอบชุดความรู้และการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลให้พวกเขาด้วยแต่ก็ไม่ทำทั้งสองฝ่าย
11. รัฐบาลเป็นหน่วยงานที่ต้องโดนด่ามากที่สุด คนในรัฐบาลมีเครื่องมือและกำลังคนมากมาย ที่สามารถแก้ไขความไม่รู้ของเด็กๆได้แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันโดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เรามีนายกรัฐมนตรี มี
รมต. คลัง มีโฆษกรัฐบาลเอาไว้ทำไมกัน ถ้าแค่การอธิบายให้เข้าใจง่ายๆยังทำไม่ได้
ก็ลาออกไป ให้ อาจารย์อานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีแทนเลยก็แล้วกัน...”
2.2 เฉพาะในประเด็นบทบาทในฐานะพิธีกรทำรายการดีเบตดังกล่าวมีผู้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกว่า
“1. เห็นความเอียงของจอมขวัญได้ชัดเจน ทั้งภาษาพูดและภาษากาย
2. จอมขวัญ ถาม สรุปประเด็นให้แทนรุ้งตลอด เหมือนเป็นผู้มาดีเบตเสียเอง
3. เวลา ดร.อานนท์พูด จอมขวัญเปิดโพยขึ้นมาถก มาเบรก ดร.อานนท์ ทุกครั้ง ทั้งที่ ดร.อานนนท์ กำลังพูดถึงใจความสำคัญ ประเด็นที่คนฟังต้องได้ฟังโดยไม่มีการขัดจังหวะ แต่เวลารุ้งพูด จอมขวัญไม่ได้ทำเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
มีแต่จะพยายามแก้สิ่งที่พูดผิดให้เป็นถูกด้วยซ้ำ
4. จอมขวัญช่วยเรียบเรียงประเด็น เพื่อโยนซีนมาให้รุ้งบ่อยๆ แต่รุ้งดันกลวง เลยเงิบ พูดตะกุกตะกัก แค่เรียบเรียงคำพูดเอง ก็ยังทำไม่ได้ จนจอมขวัญพูดออกมาในรายการกับรุ้งว่า ให้พูดที่รุ้งอยากพูด ไม่ต้องพูดตามที่จอมขวัญบรีฟให้ก็ได้
5. เวลา ดร.อานนท์พูด อธิบาย ให้ข้อมูล จอมขวัญเอาแต่ทำหน้าขมวดคิ้วเหมือนสงสัยในคำพูดตลอด ในขณะที่รุ้งพูด หน้าจอมขวัญจะยิ้มรับ เหมือนคอยช่วยประกบให้กำลังใจ เป็นพี่เลี้ยงตลอด พอรุ้งไปไม่เป็น จอมขวัญก็สรุปประเด็นให้แทน ทุกครั้ง
6. กล่าวปิดรายการ ควรให้ ดร.อานนท์ได้มีโอกาสกล่าวปิดด้วย แต่กลับให้รุ้งกล่าวปิด เพื่อเปิดโอกาสให้รุ้งเชิญชวนคนไปม็อบอีก เหมือนที่ ดร.อานนท์สละเวลาพูดที่อธิบายมาทั้งหมด ไม่ได้เข้าไปสะกิดต่อมอะไรของรุ้ง สักน้อยนิดเลย
ก่อนหน้า ก็ไม่นิยมรายการจอมขวัญ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ขอเสนอว่าอย่าเป็นพิธีกรรายการประเภทนี้ ที่เขาต้องมีความเป็นกลางอย่างยิ่งเลยครับ ออกไปเป็นแกนนำม็อบเลยดีกว่า...”
3. แกนนำม็อบที่หลงคิดว่าตัวเองรู้ลึก อวดรู้ แต่จริงๆ มั่วซั่ว จับแพะชนแกะนับว่าน่าสมเพชเวทนา
มวลชนที่ตาสว่าง ไม่ยอมให้ความหลงผิด ความโง่ของแกนนำมาจูงจมูก ปั่นหัว หรือแหกตา หลังจากเห็นสติปัญญาความรู้จริงๆ ของแกนนำแล้ว ก็คงค่อยๆ ถอยห่างออกมา
แต่ผู้ใหญ่ นักการเมือง อาจารย์ สื่อมวลชน ที่อิงแอบอยู่ข้างหลังม็อบ
แอบถือหาง แอบหนุน แอบเชียร์ แอบช่วย
อาจจะด้วยการเคลื่อนไหวของม็อบตอบสนองเป้าประสงค์บางประการของตนเอง (ที่ตนไม่กล้าออกหน้านำการเคลื่อนไหวเอง) แม้จะเห็นความผิดพลาดความผิดเพี้ยน หรือความมั่วซั่ว ความชั่วร้าย หากยังหลับหูหลับตายกยอปอปั้นแกนนำม็อบเคลื่อนไหวต่อไป เพื่อหวังผลประโยชน์บางประการของตนเอง
คนแบบหลังนี่น่าเวทนายิ่งกว่าไหม?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี