“เขาบอกว่าถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่นพฤติกรรมนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย เขาบอกว่ามาอยู่เมืองไทย 10 ปีแล้ว มาใหม่ๆ ก็ไม่ขับ อยู่ไปๆ อยู่ที่บริษัทมีความรู้สึกอันหนึ่งว่าทุกคนก็แบบนี้ เลี้ยงที่บริษัทก็มีเราเรียกแท็กซี่ แล้วคนก็จะบอกว่าทำไมไปเสียเงินเรียกแท็กซี่ รถก็มี พอสัก 10 ครั้ง วันหนึ่งก็รู้สึกว่าเราโง่ แล้ววันหนึ่งก็ตัดสินใจ แล้วถามว่ารอดมากี่ครั้ง รอดมาหลายครั้งแต่วันนี้ไม่รอด”
เรื่องเล่าจาก นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ในงานเสวนา “อุบัติเหตุดื่มแล้วขับกับความผิดซ้ำ และการขายอย่างรับผิดชอบ” เมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มาถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาขับรถขณะเมาสุราในประเทศไทย โดยคุณหมอแท้จริงยกเรื่องนี้มาเพื่อจะอธิบายว่า “สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมคน” เพราะคนญี่ปุ่นอยู่ประเทศญี่ปุ่นไม่กล้าดื่มแล้วขับรถ แต่เมื่อมาอยู่เมืองไทยกลับกล้าทำ
ตัวอย่างแบบเดียวกันยังมีกรณีของคนไทยอยู่ในประเทศไทย กล้าที่จะดื่มแล้วขับบ้าง ขับรถเร็วบ้าง แต่เมื่อเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์ คนไทยคนเดียวกันก็จะไม่ทำพฤติกรรมแบบเดียวกับที่ทำในเมืองไทย ในทางกลับกัน คนมาเลเซียหรือสิงคโปร์เมื่อข้ามแดนมาประเทศไทย ก็ทำพฤติกรรมแบบเดียวกับที่พบเห็นคนไทยทำ
คุณหมอแท้จริง เล่าต่อไปเรื่องของวิธีคิดหรือทัศนคติของคนไทยหลายคนที่เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ ว่า “ในขณะที่คนไทยรู้ว่ากินเหล้าแล้วไม่ควรขับรถ...แต่แทนที่จะคิดว่าจะหาพาหนะอะไรกลับบ้าน กลับคิดว่าจะขับรถกลับอย่างไรให้รอดจากการถูกจับ” บ้างก็หาข้อมูลจุดที่คาดว่าตำรวจจะตั้งด่าน บ้างก็คุยว่ารู้จักบุคคลที่สามารถช่วยเหลือได้ เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน “ถ้าพฤติกรรมนี้ไปเกิดที่มาเลเซียหรือสิงคโปร์..จะมีแต่เสียงเตือนว่าอย่าหาเรื่อง” เพราะออกไปไม่มีใครรับผิดชอบและจะถูกปรับรุนแรงมาก เรียกว่าไม่ต้องไปเสียเวลารณรงค์เรื่องดื่มไม่ขับกันเลยทีเดียว “เมาแบบนี้จ้างให้ก็ไม่ขับ..เพราะถูกจับแล้วมันไม่คุ้ม” ดังนั้นหากทำให้สังคมไทยมีบรรยากาศของการเตือนกันว่าถูกจับเมาแล้วขับมันไม่คุ้ม เช่น ต้องเข้าไปนอนห้องขังรอจนกว่าจะมีคนมาประกันตัว ปัญหาการดื่มแล้วขับก็จะลดลง
อย่างไรก็ตาม “เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก (ถึงขั้นยากมาก)” คุณหมอแท้จริง ยกตัวอย่างความพยายามในการเสนอกฎหมาย “ให้อุบัติเหตุบนท้องถนนทุกครั้งที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องมีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่” ซึ่งเรื่องนี้ทางตำรวจเองก็เห็นด้วยเนื่องจากที่ผ่านมาหากเป็นกรณีผู้ขับขี่หมดสติตำรวจจะไม่สามารถตรวจได้โดยทางผู้เสนอกฎหมาย “ขอให้กำหนดเป็นอำนาจและหน้าที่” เพราะการให้อำนาจเพียงอย่างเดียวอาจมีเรื่องดุลพินิจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อเป็นหน้าที่ก็ต้องทำทุกกรณี
“ตำรวจบอกขอให้มีอำนาจขอให้หมอตรวจแอลกอฮอล์ถ้าคนนี้สลบ คือตอนนี้ถ้าไม่สลบเขามีอำนาจอยู่แล้ว แต่มันติดว่าถ้าสลบเขาไม่ยอม ก็แจ้งข้อหาเขาไม่ได้ แล้วไปบังคับหมอก็ไม่ได้ ก็แก้กฎหมายว่าขออำนาจถึงแม้ว่าสลบไม่ต้องยินยอมสามารถให้หมอเจาะเลือดได้ ตอนนี้กฎหมายนี้กำลังอยู่ในสภา” เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ อธิบาย
ถึงกระนั้น ข้อเสนอข้างต้นก็ยังมีลักษณะ“ประนีประนอม” จากที่ต้องการให้ “เมื่อเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งต้องมีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์” ซึ่งเป็น “เป้าหมายเดิม” ที่คาดหวังไว้ เรื่องนี้เคยมีการพูดคุยกับคณะกรรมาธิการในระดับวุฒิสภา (สว.) แต่คุณหมอแท้จริงท้วงติงไว้ว่า “หากเสนอถึงขั้นนั้นไม่มีทางผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร(สส.) อย่างแน่นอน เพราะ สส. จะไม่มีทางสนับสนุนกฎหมายที่จะทำให้ตนเองเสียคะแนนเสียง” แต่จะชอบออกกฎหมายที่ประชาชนได้ยินแล้วส่งเสียงเฮชอบใจมากกว่า ไม่ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้ว กรณีกฎหมาย “กำหนดความรับผิดชอบของร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วมีผู้ดื่มแล้วไปขับขี่ยานพาหนะจนเกิดอุบัติเหตุ” ขนาดเรื่องนี้เสนอไปในยุครัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่มีคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายเหมือน สส.-สวแต่แม้กระทั่งคณะกรรมาธิการยุค คสช. ก็ยังรู้สึกลำบากใจที่จะออกเป็นกฎหมาย และทำให้ข้อเสนอนี้ไม่ผ่านการพิจารณาในท้ายที่สุด
“Mood (อารมณ์) หรืออะไรของสังคมไทยตอนนี้ เอาแค่ว่าเราผลักแค่ว่าเกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต เอาแค่นี้ให้ผ่านเสียก่อนก็ยังหืดขึ้นคอ แต่มันจะเป็นการแก้เลยว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วมีสิ่งนี้ แล้วแอลกอฮอล์อยู่ที่ไหน? 157 (ป.อาญา มาตรา 157 ความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) คือถ้าเขียนแบบนี้ ทีแรกกฤษฎีกาไม่ยอม บอกว่า หมอ! เราจะไปละเมิดสิทธิ์เขาได้อย่างไร? ก็บอกว่าแล้วคนเมามาอยู่บนท้องถนนละเมิดสิทธิ์เราไหม? สิทธิ์ของสาธารณะ ความปลอดภัย” นพ.แท้จริง กล่าว
คุณหมอแท้จริง ยังยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่มากในสมัยนั้นอย่างข้อเสนอ “ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ” ที่รัฐบาล คสช. เสนอขึ้นมาโดยหวังจะลดการบาดเจ็บ-เสียชีวิตบนท้องถนน ทั้งที่เป็นเรื่องดีแต่สุดท้าย คสช. ก็ยอมถอยหลังประชาชนขู่จะลุกฮือทั้งประเทศ หรือข้อเสนอที่ว่า “นั่งไปกับคนเมาแล้วขับมีความผิดด้วยฐานเป็นผู้สนับสนุน” ซึ่งในญี่ปุ่นมีกฎหมายนี้ แต่ก็ถูกตีตกไม่ผ่านการพิจารณาเช่นกัน
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่ากับท่านผู้อ่านเพื่อให้เข้าใจถึง “ข้อจำกัดของกระบวนการออกกฎหมาย” ในประเทศไทยที่ “กระแสสังคม” มีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะในช่วงที่การเมืองเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม และฝากคำถามต่ออีกนิดว่า “ทำอย่างไรกระแสสังคมจะเปลี่ยน?” จนนำไปสู่การสนับสนุนการสร้างสังคมที่พัฒนาเทียบเท่านานาอารยประเทศ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี