เมื่อช่วงต้นเดือนเม.ย. 2564 หรือก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เผยแพร่ “รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2563” ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากในปีดังกล่าวเป็นครั้งแรกที่รายงานถูกจัดทำขึ้นในยุคที่ประเทศไทยและทั้งโลกกำลังปั่นป่วนจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบไม่เฉพาะแต่เรื่องสุขภาพเท่านั้นแต่ยังรวมถึงด้านเศรษฐกิจปากท้องของผู้คนด้วย
ดังหัวข้อที่ “ที่นี่แนวหน้า” เลือกมานำเสนอในสัปดาห์นี้คือ “สิทธิแรงงานและความคุ้มครองทางสังคม” โดยในส่วนของ “แรงงานในระบบ” หรือกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่เป็นผู้ประกันตนของประกันสังคมมาตรา 33 รายงานสถานการณ์การว่างงานและการเลิกจ้างของกระทรวงแรงงาน พบว่าในเดือน ก.ย. 2563 มีผู้ประกันตนมาตรา 33 มาขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน จำนวน 487,980 คน จากทั้งหมด 11,093,914 คน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 มีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน เพิ่มขึ้นถึง 315,568 คน คิดเป็นร้อยละ183.03
สาเหตุการว่างงานมากที่สุด คือ การเลิกจ้าง ร้อยละ 49.62 การลาออกจากงาน ร้อยละ 48.06 และสิ้นสุดสัญญาจ้าง ร้อยละ 2.33 โดยการว่างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า สาขาที่พักแรม/ร้านอาหาร มีการเลิกจ้างมากที่สุด รองลงมาได้แก่ สาขาขนส่ง สาขาการผลิต สาขาก่อสร้าง สาขาการค้า และสาขาเกษตรกรรม นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า ในไตรมาสที่ 4/2563 ถึงไตรมาสที่1/2564 ผู้ประกอบการมีแนวโน้มปลดคนงาน 1-2 ล้านคน
ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทยประเมินไว้ว่าน่าจะมีคนตกงานสะสมอยู่ที่ 3-4 ล้านคน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเปราะบางที่ขอหยุดจ้างชั่วคราวประมาณ 7,000 แห่ง ซึ่งมีแรงงานอยู่ 1.5 ล้านคน หากสภาพคล่องลดลงอีกอาจทำให้มีแรงงานถูกเลิกจ้างมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการว่างงานของบัณฑิตจบใหม่ในปี 2564 จำนวน493,875 คน ที่อาจจะเข้าสู่การว่างงานแบบถาวร เพราะการจ้างงานในประเทศน้อยลง
“การเลิกจ้างแล้วไม่จ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเป็นหัวข้อร้องเรียนสำคัญของปี 2563” สถิติข้อมูลการรับคำร้องตามมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ของลูกจ้างกรณีนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2562 มีจำนวน 7,676 คน และประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 13,382 คน เมื่อเปรียบเทียบสถิติข้อมูลลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง พบว่า มีลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างและไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ในปี 2563 มากกว่าในปี 2562 ในอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.33
รูปแบบที่พบในข้อร้องเรียน เช่น การเลิกจ้างโดยอ้างเหตุสุดวิสัยในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งนายจ้างสามารถขอยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าจ้างตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ให้ลูกจ้างไปใช้ประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยแทนทำให้ได้รับเงินน้อยกว่า หรือการลดค่าจ้างโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า รวมถึงการกดดันให้ลูกจ้างที่เป็นหญิงตั้งครรภ์หรือคนพิการลาออก เป็นต้น
ขณะที่ “แรงงานนอกระบบ” หมายถึงคนทำงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือผู้ถูกว่าจ้างแต่ไม่ใช่ลูกจ้างประจำ เช่น คนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง สามล้อเครื่อง ช่างตัดผม-เสริมสวย พนักงานนวดแผนไทย ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ฯลฯ คนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงเมื่อรัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ปิดกิจการต่างๆ ทำให้ขาดรายได้ที่นอกจากมาตรการเยียวยาเงินสด 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนแล้วก็ไม่มีมาตรการอื่นๆ มารองรับอย่างเพียงพอ อีกทั้งเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก สุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนจนเมืองในอนาคต
วิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้แรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างฉับพลันสูงสุด มีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ว่างงานจะพุ่งสูงถึงกว่า 5 ล้านคนโดยภาคธุรกิจที่จะมีการเลิกจ้างหรือพักงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจโรงแรมและบริการอาหาร ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานลดลงถึง 1.5 ล้านคนและ 9.9 แสนคน ตามลำดับ นอกจากนี้ การจ้างงานในธุรกิจบันเทิง ก่อสร้าง และธุรกิจขนส่งจะได้รับผลกระทบสูงถึงราวร้อยละ 24-28 ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินไว้
สำหรับข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับแรงงานทั้ง 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการกำหนดมาตรการ หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาการว่างงานในระยะยาว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ว่างงานเข้าถึงช่องทางการหางานอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้การสนับสนุนกลไกการจ้างงานให้มากขึ้น เช่น การจัดกระบวนการพบปะระหว่างนายจ้างกับแรงงาน เป็นต้น
2.รัฐบาลและกระทรวงแรงงานควรดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ความรู้แก่กลุ่มแรงงานถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแรงงานและช่องทางในการร้องเรียน รวมถึงดำเนินการตรวจสถานประกอบกิจการที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการละเมิดสิทธิแรงงาน รวมถึงสร้างความตระหนักให้กับนายจ้างในการประกอบธุรกิจโดยคุ้มครองสิทธิของแรงงาน
3.รัฐบาลและกระทรวงแรงงานควรเร่งประชาสัมพันธ์และดำเนินการให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมให้มากขึ้น และเร่งจัดทำ “(ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ....” โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง และขยายการดำเนินการตรวจแรงงานให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบให้มากยิ่งขึ้น
และ 4.รัฐบาลและกระทรวงแรงงานควรเพิ่มกระบวนการสำรวจจำนวนแรงงานนอกระบบที่ยังไม่มีงานทำอย่างเป็นระบบ และเร่งรัดการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อที่จะนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาการว่างงานในระยะยาว ตามที่กระทรวงแรงงานตั้งเป้าว่าจะใช้เทคโนโลยีจัดทำฐานข้อมูลแรงงานนอกระบบเพื่อเป็นฐานข้อมูลเพื่อเป็นการวางแผนช่วยเหลือแรงงานได้ทั่วถึงในอนาคต
รายงานฉบับนี้ยังมีเรื่องของ “แรงงานเหมาค่าแรง”, “แรงงานต่างด้าว” และ “แรงงานประมง”อยู่ด้วย ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปอ่านฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ของ กสม. www.nhrc.or.th เลือกหมวด “ผลการดำเนินงาน” แล้วตามด้วยหัวข้อ “รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย”!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี