การบดบี้ขยี้ขย้ำในการ “ช่วงชิงอำนาจ” และ “สร้างคะแนนนิยม” ในทางการเมืองนั้น กูรูทางการเมือง มักนำไปเปรียบเทียบกับเกมประเภทต่างๆ ได้หลายชนิด

กูรูบางท่านก็ระบุว่า เป็นเกม “หมากรุกทางการเมือง” ที่แต่ละฝ่ายจะ “ขยับเบี้ย ขยับม้าและขยับเรือ” แต่ละครั้ง มักมองข้ามไปถึงความได้เปรียบและเสียเปรียบบนกระดานหมากรุกไปถึงสาม-สี่ช็อต จนถึงกับมีม็อตโต้ว่า “ยอมเสียเบี้ยเพื่อฆ่าม้า ยอมเสียอาชาเพื่อฆ่าขุน”

กูรูบางท่านก็ระบุเป็น “ปิงปองการเมือง” มักจะมีรายการซาดิสต์ชนิด “มึงตบมา กูตบกลับที่ดุดันรุนแรงกว่า”

กูรูบางท่านก็ระบุเป็นเกม “โป๊กเกอร์การเมือง”โดยการ “หงายไพ่” แต่ละใบ สามารถทำให้อีกฝ่าย“ชักตาตั้ง”

แต่กูรูการเมืองในบ้านเรามักเปรียบเทียบเป็นการ “เล่นไพ่ดัมมี่” ชนิดผู้เล่นทุกคนต่าง “เดา”ไพ่บนมืออีกฝ่ายทำให้ “ต้องระวังไม่ยอมทิ้งไพ่ให้เสียค่าโง่” และพยายาม “เก็บไพ่เพื่อที่จะน็อก”

เห็นได้จาก “โทนี่ แดนไกล” พยายามจะเก็บไพ่ของ “กะปิตัน” เพื่อหาทาง “น็อก”

แล้ว “ไพ่วัคซีนต้านโควิด-19” ที่ฝ่าย “กะปิตัน” ทิ้งลงกลางวงนั้น ถูก “โทนี่ แดนไกล”เก็บไปเข้าชุดเพื่อที่จะน็อก

หลังจากโทนี่ จัดไพ่บนมือเป็นที่เรียบร้อย และ“แน่ใจ” ว่าน็อกได้ชัวร์ จึง “ฉีกไพ่ใบสำคัญ” คือ “สเปโต วัคซีนไฟเซอร์” ทิ้งลงกลางวงไพ่โดยโทนี่แน่ใจเต็มร้อย มั่นใจเต็มพันและมุ่งมั่นเต็มหมื่น“จั่วไพ่รอบหน้าตนได้น็อกล้านเปอร์เซ็นต์”

แต่แล้วก็เกิด “ไฟไหม้กลางวงดัมมี่” เมื่อขาไพ่ที่ชื่อ “ตัวแทนไฟเซอร์ประเทศไทย” เก็บไพ่ใบที่โทนี่ฉีกจากมือทิ้งลงมา แล้วประกาศเสียงดัง “ข้าพเจ้าน็อก สูเจ้าเสียค่าโง่”

ถูกแล้วครับ ไพ่ที่โทนี่ทิ้งจนต้อง “เสียค่าโง่”นั้นคือ “ไพ่โกหกคำโต” ว่า “วัคซีนไฟเซอร์เข้าประเทศไทย แล้วมีการแอบฉีดให้คนไทยบางกลุ่มเป็นพิเศษ”

โทนี่ทิ้งไพ่เสียค่าโง่ครั้งนี้ เป็นรายการ “หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ” ครั้งสำคัญ หลังจากเคยหน้าแตกมาแล้วหลายครั้งกับการ “ทิ้งไพ่โกหกคำโตๆ”

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม