ประวัติศาสตร์ของชาติไทยเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ของชาติเพียงน้อยนิด และบางคนอาจจะไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของสมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๓ แห่งอาณาจักรอยุธยา
สงครามครั้งแรกระหว่างไทยและพม่าซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีเขตแดนติดต่อกันนั้น ได้เกิดขึ้นในสมัยของสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้แห่งกรุงหงสาวดีได้ยกกองทัพมาตีเมืองเชียงกราน ซึ่งอยู่ระหว่างล้านช้างและล้านนา และพระไชยราชาธิราชทรงยกทัพไปตีเอากลับคืนมาโดยในการศึกครั้งนี้พระองค์ได้นำทหารอาสาชาวโปรตุเกสที่มีความชำนาญในการใช้ปืนไฟ และได้นำปืนไฟมาใช้ในการรบครั้งแรกของกองทัพไทยด้วย ทำให้สามารถเอาชนะในการรบได้อย่างง่ายดาย
เมื่อยกทัพกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้ปูนบำเหน็จความชอบให้แก่ทหารอาสาชาวโปรตุเกส พระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือนบริเวณตำบลบ้านเดินเหนือคลองตะเคียน ซึ่งต่อมาเรียกกันว่าบ้านโปรตุเกสและทรงอนุญาตให้สร้างโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกไว้เพื่อการเผยแพร่ศาสนา ณ ที่นั้นด้วย
ในช่วงปีพ.ศ.๒๐๘๘ ได้เกิดกบฏขึ้นที่นครพิงค์เชียงใหม่ โดยพระเมืองเกษเกล้าถูกลอบปลงพระชนม์ บรรดาเจ้าเมืองลำปาง เชียงรายและเมืองพานได้ยกทัพเข้ายึดนครพิงค์เชียงใหม่ได้พร้อมแต่งตั้งพระนางจิรประภามหาเทวีขึ้นครองนครพิงค์
พระไชยราชาธิราชเกรงว่า ล้านช้างจะแผ่อำนาจเข้ามาปกครองล้านนา
จึงยกทัพขึ้นไปเพื่อจะตีเมืองเชียงใหม่ พระนางจิรประภาได้ยอมอ่อนน้อม และได้ร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศพระเมืองเกษเกล้าร่วมกัน ณ วัดโลกโมฬี จึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา
ต่อมานครพิงค์ได้หันกลับไปสวามิภักดิ์กับล้านช้าง ทำให้พระไชยราชาธิราชต้องยกทัพกลับมาตีนครพิงค์อีกครั้งหนึ่ง แต่ในคราวนี้ล้านช้างได้ยกมาช่วยและร่วมต่อสู้อย่างเข้มแข็งกองทัพอยุธยาไม่สามารถเอาชนะได้ จึงถอยทัพกลับไป และในระหว่างทางนั้น พระไชยราชาธิราชได้เสด็จสวรรคต
ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากในช่วงที่พระองค์ยกทัพไปรบนั้น พระมเหสีพระองค์หนึ่งคือแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ ได้ประพฤติไม่เหมาะสม โดยได้กระทำการลักลอบเป็นชู้กับขุนวรวงศาธิราช
ขุนวรวงศาธิราชนั้นชื่อเดิมคือนายบุญศรี ได้เข้ามารับราชการในตำแหน่งพันบุตรีเทพ เป็นผู้ดูแลหอพระข้างหน้า ทำหน้าที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ได้รับความไว้วางใจพอสมควร ต่อมาแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาราชการแผ่นดินนั้น ได้มีโอกาสพบกับพันบุตรศรีเทพ เกิดความพึงพอใจรักใคร่กัน เลื่อนยศพันบุตรศรีเทพให้เป็นขุนชินราช ให้มาดูหอพระด้านใน ได้ลอบเป็นชู้กับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ และได้เลื่อนขึ้นเป็นขุนวรวงศาธิราช จนในที่สุดก็ตั้งครรภ์ จึงได้วางแผนที่จะให้ขุนวรวงศาธิราชขึ้นครองบัลลังก์
นางได้กระทำสิ่งที่เลวร้าย โดยร่วมคิดกับขุนวรวงศาธิราชในการสำเร็จโทษพระยอดฟ้า พระราชบุตรของพระไชยราชาธิราชที่ได้ขึ้นครองราชย์แทนหลังจากพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคต ซึ่งพระยอดฟ้ามีอายุเพียง ๑๑ พรรษาเท่านั้น จึงกระทำการได้สำเร็จโดยง่าย
เหล่าวงศาคณาญาติของพระไชยราชาธิราช นำโดยขุนพิเรนทรเทพและขุนนางใกล้ชิดจำนวนหนึ่งเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง จึงได้ร่วมกันวางแผนที่จะกำจัดขุนวรวงศาธิราชและแม่หยัวศรีสุดาจันทร์
มีการออกข่าวและรายงานให้ทราบว่ามีช้างมงคลซึ่งก็คือช้างเผือก อันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการเข้ามาทางเมืองลพบุรี ขุนวรวงศาธิราชร่วมกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์จึงตั้งขบวนเพื่อออกไปรับช้างดังกล่าวทางชลมารค เมื่อกระบวนเรือมาถึงจุดนัดหมาย คณะผู้ก่อการก็นำกำลังเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน จับขุนวรวงศาธิราชและพระนางฆ่าเสีย แล้วเอาศพเสียบประจานไว้ที่วัดแร้ง
หลังจากนั้นคณะของขุนพิเรนทรเทพ จึงไปอัญเชิญพระเทียรราชาซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิดของพระไชยราชาธิราช ที่เสด็จออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์เพื่อจะหนีปัญหาความวุ่นวายและภัยที่จะเกิดขึ้นให้กลับมาครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ราชาธิราชเจ้า พระมหากษัตริย์ที่มีการกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ของชาติไทยเป็นอย่างมากพระองค์หนึ่ง
การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดินั้น ทำให้ภาวะเหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังวิกฤตมีการแย่งชิงบัลลังก์อย่างไม่เหมาะสมยุติลง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติตามที่ควรจะต้องเป็น
เหตุการณ์บ้านเมืองของชาติเราในขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่าเกิดความวุ่นวาย อย่างมากพอสมควร อันเป็นผลมาจากนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ จากความประพฤติผิดทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในลักษณะที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้าน นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมายังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดิน ให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแม้แต่น้อย ตลอดจนความรักสามัคคีของคนในชาติก็ลดน้อยลง และที่สำคัญยิ่งคือบริหารราชการจนประเทศชาติเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียอธิปไตย ที่พระมหากษัตริย์ในอดีตได้ทรงสร้างชาติไว้เป็นระยะเวลาร่วม ๘๐๐ ปี
การพ้นจากตำแหน่งของนายกฯทำให้ต้องมีการเลือกนายกฯคนใหม่ เพื่อมาบริหารแผ่นดิน แต่ก็คงจะเห็นแล้วว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นมีความผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีตที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการแย่งชิงตำแหน่งนายกฯจากทุกฟากฝ่าย โดยแต่ละพรรคก็ใช้วิธีการที่สับสนและซ่อนเงื่อนอย่างมากมาย จนเกือบจะไม่สามารถเชื่อได้ว่านี่คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า การแย่งชิงตำแหน่งนั้นมีเรื่องของผลประโยชน์แอบแฝง ทั้งในส่วนของพรรค และในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนที่มักอ้างว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ โดยลืมไปว่าตำแหน่งของท่านนั้นมาจากเสียงของประชาชนที่มอบหมายให้ท่านเป็นตัวแทนเข้ามาทำงานเพื่อผลประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองของชาติ
การรวมตัวของพรรคฝ่ายค้าน ๒ พรรคที่มีแนวคิดที่เรียกได้ว่าตรงกันข้ามในเรื่องของการเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการยอมรับกติกาบางอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับซึ่งในที่สุดคงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่โดยลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน จึงเป็นเรื่องที่แปลก
ในขณะที่พรรครัฐบาลเดิม ซึ่งผู้นำพรรคได้กระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงและมีผู้เรียกร้องให้ลาออกหรือยุบสภาก็มิได้กระทำดังกล่าว จนกระทั่งถึงเวลาถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากหน้าที่รวมทั้งคณะรัฐมนตรีทั้งคณะด้วย ก็เปลี่ยนความคิดเมื่อรู้ว่าพรรคตัวเองจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งนายกฯ โดยกระทำการอันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเหมาะสมอย่างยิ่งโดยแอบอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่พระองค์จะต้องมีพระราชวินิจฉัยในเรื่องที่นายกฯรักษาการขอออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการยุบสภา ซึ่งเมื่อไม่สามารถดำเนินการตามประสงค์ได้ ก็นำเสนอพรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายค้านด้วยวิธีการใหม่ ที่มีผู้เปรียบว่าเป็นแพ็กเกจทัวร์ไฟไหม้ โดยเสนอว่าหากผู้ที่พรรคของตัวเองได้รับการลงมติให้เป็นนายกฯ และหลังจากที่ได้เข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ และเปิดประชุมสภาเพื่อแถลงนโยบายแล้วเสร็จ ก็จะทำการยุบสภาโดยทันทีตามที่พรรคนั้นอยากให้เป็น โดยแสดงออกอย่างกระหือรือ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่คิดจะมาบริหารบ้านเมือง
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ประเทศได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ นั้น ต้องนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง แต่การที่นักการเมืองหรือนักเลือกตั้ง ทั้งหลายได้กระทำการต่างๆ อันไม่น่าจะสอดคล้องกับระบอบนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และหากเขาเหล่านั้นยังคงมองถึงประโยชน์ของพรรคและของส่วนตนที่จะได้รับจากการเข้ามาบริหารประเทศเป็นเรื่องสำคัญกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ ก็ต้องถือว่าระบอบที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นระบอบที่ล่มสลายอย่างสิ้นเชิง
ขอให้นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลือก จงบริหารบ้านเมืองโดยยึดเอาความสำคัญของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความเจริญของประเทศชาติความรักสามัคคีของคนในชาติ และการรักษาอธิปไตยของชาติ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องอื่นใด
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี