“ในหลวงทรงพระกรรแสง เมื่อเห็นพระยาศรีวิสารวาจา(หุ่น ฮุนตระกูล) และตรัสว่า “ตาหุ่น แกรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันจะให้รัฐธรรมนูญ ทำไมจึงต้องทำให้ฉันอับอายเขาถึงเช่นนี้” พระยาศรีวิสารฯก็ร้องไห้ ทูลตอบว่า“ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยจริงๆ” และมีหลายคนที่อายในหลวงจนร้องไห้เหมือนกัน
ข้อความดังกล่าวนี้ คือถูกบันทึกไว้ในหนังสือ“สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” อันเป็นคำบอกเล่าของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นคำตรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติ ในขณะที่พระองค์ทรงแปรพระราชฐานอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน
การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ภายใต้การนำของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยได้นำกำลังทหารและพลเรือนมาชุมนุม ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร และยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน โดยหัวหน้าคณะราษฎร คือ นายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
เรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยนั้น ได้มีบันทึกของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ไว้ว่า “เมื่อทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ constitution แก่สยามประเทศ.... ครั้นได้ข่าวเรื่องนี้ก็ปรากฏว่าช้าไปอีก ที่คณะราษฎรทำไปไม่ทรงโกรธกริ้วและเห็นใจเพราะไม่รู้เรื่องกัน พอทรงทราบเรื่องก็คาดแล้วว่าคงจะเป็นเรื่องการปกครอง เสียพระราชหฤทัยที่ได้ช้าไป ทำความเสื่อมเสียให้เป็นอันมากในวันนั้นได้ทรงฟังประกาศของคณะราษฎรทางวิทยุทรงรู้สึกเสียใจ และเจ็บใจมากที่กล่าวหาร้ายกาจมากมายอันไม่ใช่ความจริงเลย.....”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบของบ้านเมืองมากกว่าสิ่งอื่นใด ทรงยอมรับเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยพระองค์แรก
หลังจากปฏิวัติแล้ว คณะราษฎรได้ร่างข้อกฎหมายที่เรียกว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยาม โดยผู้ร่างคือนายปรีดี พนมยงค์ และคณะกรรมการบางส่วนขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ เพื่อให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยโดยเติมพระอักษร“ชั่วคราว” ต่อท้ายพระราชบัญญัติฉบับนั้น และมีพระราชกระแสรับสั่งแก่คณะราษฎรว่า ให้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการชั่วคราวและให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรตั้งอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อปรับปรุงข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆให้มีความเสถียรภาพมากขึ้น
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งคณะราษฎรได้เลือกให้เป็นผู้นำระบอบใหม่ และยังเป็นประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย โดยได้มีการเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารืออย่างสม่ำเสมอ และมักดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชประสงค์ทั้งเรื่องใหญ่โตไปจนถึงเรื่องปลีกย่อย จนนำไปสู่ความสำเร็จในร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้กำหนดพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญโดยได้เสนอให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและให้เชิญคณะทูตานุทูตเข้าร่วมชมพระราชพิธีด้วยโดยให้โหรหลวงประจำราชสำนักเป็นผู้หาฤกษ์สำหรับพระราชทานรัฐธรรมนูญ และโดยที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นของที่ควรจะขลัง พระองค์จึงมีรับสั่งให้มีการบันทึกเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ลงใส่สมุดไทย
ยังมีการเขียนคำประกาศที่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงที่มาของรัฐธรรมนูญว่า “ข้าราชการทหาร พลเรือน และอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากรุณาขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวสยามได้รับพระบรมราชบริหารในวิถีความเจริญนานาประการโดยลำดับจนบัดนี้มีการศึกษาสูงขึ้นแล้วมีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในภัฏฐาภิปาลโนบายสมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยาม จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามตามความประสงค์”
พิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕
นับตั้งแต่นั้นก็ถือว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด แต่การมีรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอาณาอารยประเทศ มีเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีสังคมที่ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และมีระบบการเมืองที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด
มีความพยายามแผ่ขยายและกระจายอำนาจ เพื่อหวังที่จะเป็นใหญ่และปกครองประเทศอย่างยาวนาน แก่งแย่งชิงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งการสร้างสมัครพรรคพวกทั้งในภาคราชการและเอกชนอย่างมากมายมหาศาล แต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบคอร์รัปชั่นต่อบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งกลายเป็นโรคเรื้อรังอันยากที่จะแก้ไข
สิ่งที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย บางครั้งก็ถูกคุกคามโดยผู้มีอำนาจที่หวังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความเอือมระอา เริ่มมีการเรียกร้องต่อสู้หาความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
เรื่องต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุของการกระทำปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งหลังจากการกระทำดังกล่าวแต่ละครั้ง ก็มักจะเริ่มต้นประเทศด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นไปตามแนวทางที่ผู้มีอำนาจในขณะนั้นอยากจะให้เป็น โดยประชาชนอาจจะมีส่วนร่วมไม่มากนัก
พรรคการเมืองบางพรรค บางตระกูล ก็มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะสืบทอดการบริหารบ้านเมืองให้อยู่ในกำมือของพวกตนอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
ทั้งการแก่งแย่งชิงดีที่จะบริหารบ้านเมืองรวมทั้งกระบวนการคอร์รัปชั่นอย่างมากมายมหาศาลของนักการเมืองบางส่วนที่มีอำนาจมากขึ้นนี่เอง จึงทำให้การรัฐประหารในประเทศไทยเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นับจนถึงปัจจุบันนี้มีการรัฐประหารไปแล้ว ๑๓ ครั้ง และมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เกิดขึ้นเป็นจำนวน ๒๐ ฉบับ โดยฉบับสุดท้ายคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งมีคนบางกลุ่มบางกล่าวว่าเป็นผลพวงจากการทำรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๕๗ แต่โดยความจริงรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีคณะกรรมการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านกฎหมายจำนวนมากและเป็นรัฐธรรมนูญที่ต้องการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เป็นโรคเรื้อรังของบ้านเมือง คือการทุจริตโกงกินและประพฤติมิชอบจากการ จึงมีบทลงโทษที่รุนแรง จนถูกเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงอันเป็นสิ่งที่นักการเมืองส่วนหนึ่งไม่สามารถจะยอมรับได้
ความพยายามที่จะแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชามติโดยประชาชนซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ถึง ๖๑.๓๕% หรือมากกว่า ๑๖ ล้านเสียงให้ความเห็นชอบ ได้เกิดขึ้นมาโดยตลอด และชัดเจนว่าพรรคการเมืองบางพรรคถือเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างยิ่ง ถึงขนาดใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของประเทศไทย ต้องถือว่าเป็นวิถีทางการเมืองที่แปลกประหลาด ตลอดจนการอภิปรายในการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีท่านใหม่พรรคการเมืองดังกล่าวก็ยังกล่าวย้ำถึงเรื่องนี้
เนื้อแท้ของการอยากแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นคือการต้องการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการลดบทลงโทษนักการเมืองที่ทำผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นเกิดขึ้นจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงเล็งเห็นแล้วว่าการบริหารบ้านเมืองต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชนมีส่วนร่วม จึงได้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกให้ในปีพ.ศ.๒๔๗๕
ไม่อยากเห็นพรรคการเมืองใดๆ ที่มักอ้างประชาชน คิดที่จะแก้หรือจัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามแนวความคิดในเชิงดูหมิ่นหรือลดพระราชอำนาจสถาบัน และลดบทลงโทษนักการเมืองที่ทำผิด เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาลงประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เป็นการเสียงบประมาณจำนวนมากของชาติโดยเปล่าประโยชน์
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี