วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“ในหลวงทรงพระกรรแสง เมื่อเห็นพระยาศรีวิสารวาจา(หุ่น ฮุนตระกูล) และตรัสว่า “ตาหุ่น แกรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันจะให้รัฐธรรมนูญ ทำไมจึงต้องทำให้ฉันอับอายเขาถึงเช่นนี้” พระยาศรีวิสารฯก็ร้องไห้ ทูลตอบว่า“ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยจริงๆ” และมีหลายคนที่อายในหลวงจนร้องไห้เหมือนกัน
ข้อความดังกล่าวนี้ คือถูกบันทึกไว้ในหนังสือ“สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” อันเป็นคำบอกเล่าของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล
ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นคำตรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติ ในขณะที่พระองค์ทรงแปรพระราชฐานอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน
การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ภายใต้การนำของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา โดยได้นำกำลังทหารและพลเรือนมาชุมนุม ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร และยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน โดยหัวหน้าคณะราษฎร คือ นายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
เรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยนั้น ได้มีบันทึกของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ไว้ว่า “เมื่อทรงรับราชสมบัติ ก็มั่นพระราชหฤทัยว่า เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะให้ constitution แก่สยามประเทศ.... ครั้นได้ข่าวเรื่องนี้ก็ปรากฏว่าช้าไปอีก ที่คณะราษฎรทำไปไม่ทรงโกรธกริ้วและเห็นใจเพราะไม่รู้เรื่องกัน พอทรงทราบเรื่องก็คาดแล้วว่าคงจะเป็นเรื่องการปกครอง เสียพระราชหฤทัยที่ได้ช้าไป ทำความเสื่อมเสียให้เป็นอันมากในวันนั้นได้ทรงฟังประกาศของคณะราษฎรทางวิทยุทรงรู้สึกเสียใจ และเจ็บใจมากที่กล่าวหาร้ายกาจมากมายอันไม่ใช่ความจริงเลย.....”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบของบ้านเมืองมากกว่าสิ่งอื่นใด ทรงยอมรับเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยพระองค์แรก
หลังจากปฏิวัติแล้ว คณะราษฎรได้ร่างข้อกฎหมายที่เรียกว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยาม โดยผู้ร่างคือนายปรีดี พนมยงค์ และคณะกรรมการบางส่วนขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ เพื่อให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยโดยเติมพระอักษร“ชั่วคราว” ต่อท้ายพระราชบัญญัติฉบับนั้น และมีพระราชกระแสรับสั่งแก่คณะราษฎรว่า ให้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการชั่วคราวและให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรตั้งอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อปรับปรุงข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆให้มีความเสถียรภาพมากขึ้น
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งคณะราษฎรได้เลือกให้เป็นผู้นำระบอบใหม่ และยังเป็นประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญด้วยได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย โดยได้มีการเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารืออย่างสม่ำเสมอ และมักดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชประสงค์ทั้งเรื่องใหญ่โตไปจนถึงเรื่องปลีกย่อย จนนำไปสู่ความสำเร็จในร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้กำหนดพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญโดยได้เสนอให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและให้เชิญคณะทูตานุทูตเข้าร่วมชมพระราชพิธีด้วยโดยให้โหรหลวงประจำราชสำนักเป็นผู้หาฤกษ์สำหรับพระราชทานรัฐธรรมนูญ และโดยที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นของที่ควรจะขลัง พระองค์จึงมีรับสั่งให้มีการบันทึกเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ลงใส่สมุดไทย
ยังมีการเขียนคำประกาศที่ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงที่มาของรัฐธรรมนูญว่า “ข้าราชการทหาร พลเรือน และอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากรุณาขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ประชาชนชาวสยามได้รับพระบรมราชบริหารในวิถีความเจริญนานาประการโดยลำดับจนบัดนี้มีการศึกษาสูงขึ้นแล้วมีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในภัฏฐาภิปาลโนบายสมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยาม จึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามตามความประสงค์”
พิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕
นับตั้งแต่นั้นก็ถือว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด แต่การมีรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอาณาอารยประเทศ มีเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีสังคมที่ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และมีระบบการเมืองที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด
มีความพยายามแผ่ขยายและกระจายอำนาจ เพื่อหวังที่จะเป็นใหญ่และปกครองประเทศอย่างยาวนาน แก่งแย่งชิงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งการสร้างสมัครพรรคพวกทั้งในภาคราชการและเอกชนอย่างมากมายมหาศาล แต่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบคอร์รัปชั่นต่อบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งกลายเป็นโรคเรื้อรังอันยากที่จะแก้ไข
สิ่งที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย บางครั้งก็ถูกคุกคามโดยผู้มีอำนาจที่หวังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความเอือมระอา เริ่มมีการเรียกร้องต่อสู้หาความเป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
เรื่องต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นต้นเหตุของการกระทำปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งหลังจากการกระทำดังกล่าวแต่ละครั้ง ก็มักจะเริ่มต้นประเทศด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นไปตามแนวทางที่ผู้มีอำนาจในขณะนั้นอยากจะให้เป็น โดยประชาชนอาจจะมีส่วนร่วมไม่มากนัก
พรรคการเมืองบางพรรค บางตระกูล ก็มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะสืบทอดการบริหารบ้านเมืองให้อยู่ในกำมือของพวกตนอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย
ทั้งการแก่งแย่งชิงดีที่จะบริหารบ้านเมืองรวมทั้งกระบวนการคอร์รัปชั่นอย่างมากมายมหาศาลของนักการเมืองบางส่วนที่มีอำนาจมากขึ้นนี่เอง จึงทำให้การรัฐประหารในประเทศไทยเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา นับจนถึงปัจจุบันนี้มีการรัฐประหารไปแล้ว ๑๓ ครั้ง และมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เกิดขึ้นเป็นจำนวน ๒๐ ฉบับ โดยฉบับสุดท้ายคือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งมีคนบางกลุ่มบางกล่าวว่าเป็นผลพวงจากการทำรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๕๗ แต่โดยความจริงรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีคณะกรรมการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านกฎหมายจำนวนมากและเป็นรัฐธรรมนูญที่ต้องการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เป็นโรคเรื้อรังของบ้านเมือง คือการทุจริตโกงกินและประพฤติมิชอบจากการ จึงมีบทลงโทษที่รุนแรง จนถูกเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงอันเป็นสิ่งที่นักการเมืองส่วนหนึ่งไม่สามารถจะยอมรับได้
ความพยายามที่จะแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่นี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการทำประชามติโดยประชาชนซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ถึง ๖๑.๓๕% หรือมากกว่า ๑๖ ล้านเสียงให้ความเห็นชอบ ได้เกิดขึ้นมาโดยตลอด และชัดเจนว่าพรรคการเมืองบางพรรคถือเป็นนโยบายที่สำคัญอย่างยิ่ง ถึงขนาดใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของประเทศไทย ต้องถือว่าเป็นวิถีทางการเมืองที่แปลกประหลาด ตลอดจนการอภิปรายในการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีท่านใหม่พรรคการเมืองดังกล่าวก็ยังกล่าวย้ำถึงเรื่องนี้
เนื้อแท้ของการอยากแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่นั้นคือการต้องการลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการลดบทลงโทษนักการเมืองที่ทำผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นเกิดขึ้นจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงเล็งเห็นแล้วว่าการบริหารบ้านเมืองต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยประชาชนมีส่วนร่วม จึงได้ลงพระปรมาภิไธยพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับแรกให้ในปีพ.ศ.๒๔๗๕
ไม่อยากเห็นพรรคการเมืองใดๆ ที่มักอ้างประชาชน คิดที่จะแก้หรือจัดทำรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามแนวความคิดในเชิงดูหมิ่นหรือลดพระราชอำนาจสถาบัน และลดบทลงโทษนักการเมืองที่ทำผิด เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาลงประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เป็นการเสียงบประมาณจำนวนมากของชาติโดยเปล่าประโยชน์
ปิยะ เนตรวิเชียร

'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้
'ปราชญ์ สามสี'ฟาด! 'พรรคส้ม' ใช้ 'สองมาตรฐาน' โจมตีกองทัพ แต่ปัดรับผิดคดีในพรรค
ผีตายยาก!เดอ ลิกต์ โขกทดเจ็บบุกแบ่งแต้มไก่
'กัน จอมพลัง' ควงลูกเมียเปิดใจน้ำตาซึม เผยความผิดพลาด เอาเวลาครอบครัวไปช่วยคนอื่น
'กัมพูชา'ขยับแรง! บุกทลาย2รังใหญ่แก๊งสแกมเมอร์ รวบผู้ต้องหากว่า600คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี