การเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างชาติต่างๆ มีมานานแล้ว การเป็นชาติหรือประเทศนั้น ไม่สามารถจะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ จำเป็นต้องคบหาสมาคมกับชาติอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติที่อยู่ใกล้ชิดกัน หรือชาติที่อยู่ห่างไกลกันก็ตาม เช่นเดียวกันกับชาติไทยก็มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติอื่นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย
เมื่อมีการคบหาสมาคมเกิดขึ้น ซึ่งก็จะนำมาถึงเรื่องของการค้าขาย เพราะแต่ละชาติจะมีทรัพยากรและผลิตผลที่แตกต่างกัน ซึ่งมีความสำคัญหรือจำเป็นต่อการดำรงชีวิตหรือการมีชีวิตที่ดีขึ้น การค้าขายสินค้าของไทยและชาติอื่นนั้น เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัย
ลุล่วงมาถึงสมัยอาณาจักรอยุธยา ไทยเริ่มมีสัมพันธไมตรีกับชาติต่างๆ มากขึ้น และชาติที่อยู่ทางยุโรปชาติแรกที่มาค้าขายกับไทยน่าจะเป็นโปรตุเกส และต่อมาก็มีอีกหลายชาติติดตามมา อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ ส่วนทางเอเชียเองนั้นนอกจากจีนแล้ว ก็มีญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นต้น
ส่วนหนึ่งของสินค้าที่ถูกนำมาขายนั้นคืออาวุธยุทโธปกรณ์ และโปรตุเกสก็เป็นชาติแรกที่มีการค้าขายปืนที่ในอดีตเรียกว่าปืนไฟซึ่งก็คือปืนยาวนั่นเองให้กับไทยในสมัยของสมเด็จพระไชยราชาธิราช โดยมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนว่า เมื่อทัพไทยยกไปรบกับพม่าเพื่อตีเอาเมืองเชียงคานคืนในสมัยของพระองค์นั้น ได้ชาวโปรตุเกสไปร่วมรบด้วย และการที่ทัพไทยมีปืนไฟเป็นอาวุธ จึงทำให้เอาชนะ ทัพของพม่าได้อย่างง่ายดาย
ปืนจึงกลายเป็นอาวุธที่มีความสำคัญ ชาวยุโรปได้ช่วยมาพัฒนาการสร้างอาวุธปืน โดยเฉพาะปืนใหญ่ให้กับชาติไทย ซึ่งต้องถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีการสู้รบ จากการใช้อาวุธสั้นมาเป็นอาวุธที่ปัจจุบันเรียกว่าพิสัยไกลร่วมด้วย กระสุนที่ยิงออกไปนั้นไม่ว่าจะปืนยาวหรือปืนใหญ่ จะมีกำลัง ในการทำลายล้างสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างมาก
การเจริญสัมพันธไมตรีของชาติไทยกับชาติทางยุโรปที่สำคัญและมีการกล่าวถึงอย่างมากคือสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและฝรั่งเศสซึ่งมีความก้าวหน้าและรุ่งเรืองมากขึ้นตามลำดับจนอาจจะกล่าวได้ว่ามีความรุ่งเรืองมากที่สุดเกิดขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๒๗ ของกรุงศรีอยุธยา และทรงเป็นมหาราชพระองค์ที่ ๓ ของชาติไทย
เป็นครั้งแรกที่ไทยได้ส่งขุนนางผู้ใหญ่เป็นผู้แทนพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็คือราชทูต ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส โดยเจ้าพระยาโกษาปาน หรือออกพระวิสูตรสุนทร ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลกคือ ๗๒ ปีเศษแห่งประเทศฝรั่งเศส มีการถวายพระราชสาส์น ในการเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเครื่องราชบรรณาการต่างๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนในเอกสารทางประวัติศาสตร์ของทั้งสองชาติ
มีชาวฝรั่งเศสรวมทั้งทหารฝรั่งเศสมาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนไม่น้อย และเริ่มแผ่อิทธิพลมากขึ้นถึงขนาดที่ได้มีการขอตั้งป้อมปราการขึ้นที่เมืองบางกอกที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันก็คือบริเวณกรุงเทพมหานครนั่นเอง และที่ฝั่งธนบุรีด้วย
เมื่อเริ่มมีอิทธิพลและอำนาจมากขึ้น ฝรั่งเศสก็เริ่มแทรกแซงกิจการภายในของอาณาจักรอยุธยามากขึ้นด้วย จนทำให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เริ่มไม่พึงพอใจและ ห่วงใยในอธิปไตยของชาติ จนในที่สุดก็ลุกลามไปสู่การขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากอาณาจักรอยุธยาทั้งหมดในสมัยของสมเด็จพระเพทราชา
ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเป็นมาของสมเด็จพระเพทราชาไม่มีความชัดเจนมากนักว่าพระองค์มาจากไหนอย่างไร มีการกล่าวกันว่าพระองค์เป็นชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพเลี้ยงช้างก็มีหรือที่กล่าวกันว่าพระองค์มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์สุพรรณภูมิก็มี
แต่ที่แน่นอนคือพระองค์เป็นนายทหารที่มีความสามารถในการรบ และได้รับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงขนาดที่ได้ยกพระสนมนางหนึ่งที่เป็นชาวเชียงใหม่ให้กับพระเพทราชา ซึ่งต่อมาเด็กชายที่เกิดจากสนมนางนั้น ซึ่งก็กลายเป็นลูกของสมเด็จพระเพทราชาก็คือคุณหลวงสรศักดิ์หรือพระเจ้าเสือ ที่ได้เป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาเป็นองค์ต่อมาหลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระเพทราชา
ในปลายสมัยของสมเด็จพระนารายณ์นั้น พระองค์ทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรัง ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติพระราชภารกิจได้ดี อันน่าจะเป็นที่มาของการที่สมเด็จพระเพทราชาจึงได้กระทำการปราบดาภิเษกหลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์สวรรคต
เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วสมเด็จพระเพทราชาก็ได้เริ่มทำการรุกไล่ชาวฝรั่งเศส ให้ออกจากกรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องจากที่เมืองบางกอกนั้นมีป้อมปราการของฝรั่งเศสอยู่ พระองค์จึงต้องยกทัพเพื่อไปล้อมป้อมของฝรั่งเศสอยู่เป็นระยะเวลานานถึง ๔ เดือน มีการเจรจาจนฝรั่งเศสยอมยกพลทั้งหมดออกจากป้อมค่ายทั้งหมดกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส เป็นอันสิ้นสุดสัมพันธไมตรีระหว่างอาณาจักรอยุธยาและฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงเวลานั้นมาอีกยาวนานพอสมควร
ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในชาตินักล่าอาณานิคม ได้กลับมาแผ่ขยายอำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งหนึ่งในต้นอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งกับไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเรื่องของการรุกรานดินแดนที่ไทยเคยครอบครองอยู่ไม่ว่าจะเป็นลาวหรือเขมร ทำให้ไทยต้องเสียดินแดนบางส่วน รวมทั้งการเสียเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณไปในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ซึ่งทำให้พระองค์เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดทรงมีพระอาการประชวรอันนำไปสู่การสวรรคต
ฝรั่งเศสจึงกลายเป็นชาติที่ได้ครอบครองดินแดนในถิ่นสุวรรณภูมิเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ยกเว้น ไทย เพียงชาติเดียว ซึ่ง ชาติเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ก่อนที่จะปลดปล่อยให้ทั้ง ๓ ชาตินั้นมีอิสรภาพกลับคืนมา แต่ก็ได้สร้างปัญหา เรื่องเขตแดนให้กับประเทศต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะระหว่างเวียดนามกับเขมรเท่านั้น แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ขณะนี้คือเขตแดนระหว่างชาติไทยและเขมร
ในโลกยุคปัจจุบันนี้ ไม่ควรจะมีชาติใดที่คิดจะเข้าไปปกครองชาติอื่นๆ แต่โดยความจริงแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยังมีชาติมหาอำนาจบางรายต้องการมีอิทธิพล หรืออาจถึงขนาดเข้าไปปกครองชาติอื่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปก็ดีหรือในดินแดนอาหรับก็ดี เป็นเครื่องยืนยันว่ามหาอำนาจบางชาติยังคงมีแนวคิดที่จะทำเรื่องดังกล่าวเสมือนกับต้องการเป็นเจ้าโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ผลพวงของการพยายามนั้น ทำให้เกิดสงครามในประเทศหรือสงครามระหว่างประเทศ นอกจากการหวังชัยชนะแล้ว ชาติมหาอำนาจยังได้มีโอกาสขายอาวุธที่มีมูลค่ามหาศาลอย่างยิ่งเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศของตัวเองบนความย่อยยับของชาติอื่นที่อาจจะไม่มีแสนยานุภาพเพียงพอในการต่อสู้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือประชาชนของแต่ละประเทศที่ต้องตกอยู่ในภาวะสงคราม เกิดการบาดเจ็บล้มตาย พลัดถิ่นที่อยู่ ยากจนคนแค้น ชีวิตในอนาคตไม่มีความหมายแต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ไม่ควรจะได้รับชะตากรรมแบบนี้
ผู้นำของชาติมหาอำนาจบางคน พยายามสร้างภาพว่าตัวเองเป็นผู้ที่รักสันติ และพยายามที่จะให้โลกนี้อยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ ทั้งๆ ที่การแสดงออกที่เคยเกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง และชาติเล็กๆ บางชาติต้องตกเป็นเครื่องมือหรือหลงกลเข้าไปมีส่วนสนับสนุนหรือโดยจำยอมเพื่อให้ผู้นำบางคนได้ถูกจารึกไว้ด้วยรางวัลอะไรก็แล้วแต่ที่แสดงถึงความเป็นผู้รักสันติภาพ
ชาติไทยของเราเคยต้องผจญกับเหตุการณ์จากการรุกรานของประเทศที่ใหญ่กว่า และได้รับความเจ็บปวดอย่างมหาศาลมาแล้ว จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องไม่ตกหลุมพรางที่นำไปสู่ความเลวร้ายของประเทศอีกครั้งหนึ่ง ส่วนการรุกรานพื้นที่บางส่วนของเรา โดยชาติที่อยู่ติดกันคือเขมรนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
อย่าใช้อธิปไตยของชาติเป็นของเล่นให้กับชาติหนึ่งชาติใดเป็นอันขาด อธิปไตยต้องเป็นของชาติไทยและของคนไทย ที่ต้องคงอยู่ด้วยความอิสระ มีเสรีภาพที่อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่ชาติเรากำหนดขึ้นเอง รักษาสมดุลทางด้านสัมพันธภาพระหว่างชาติเราและชาติอื่นๆไว้
รัฐบาลหรือผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นของพรรคใดฝ่ายใดก็ตาม ต้องไม่อ้างอำนาจที่เกิดขึ้นได้เพราะประชาชนเลือกเข้ามา ต้องรำลึกเสมอว่าประชาชนไม่ได้เลือกท่านเข้ามาให้มีอำนาจ แต่เลือกเข้ามาเพียงเพื่อให้เป็นตัวแทนในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐกิจที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน มีสังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และที่สำคัญต้องมุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตยของชาติไทยไว้ให้ได้
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี