วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สำหรับบ้านเมืองของเราแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องแปลกหรือพิสดารแต่อย่างใดที่ผู้บริหารบ้านเมืองหรือนักการเมืองจะกระทำการทุจริต คดโกงหรือฉ้อราษฎร์บังหลวง และเรื่องนี้
ก็มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา ก็มีบันทึกเรื่องราวของการฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นแล้ว เช่น บันทึกของนายมองซิเออร์ เดอ ลา ลู แบร์ชาวฝรั่งเศส ที่ได้เขียนไว้ว่า
ข้าราชการในสมัยอยุธยา มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแพร่หลาย โดยยกตัวอย่างคดีของพนักงานกรมพระคลังที่ยักยอกเงินหลวง ซึ่งเมื่อถูกลงโทษด้วยการกรอกปากด้วยเงินที่หลอมละลายจนเสียชีวิต ผู้ลงโทษก็จะล้วงเงินออกจากปากศพและยักยอกเงินจากศพแรก และเมื่อผู้ลงโทษคนแรกนี้ถูกจับได้ ก็จะถูกลงโทษโดยการถูกกรอกปากด้วยเงินที่หลอมละลายจนเสียชีวิตอีก ผู้ลงโทษคนที่ ๓ ก็ยังจะทำแบบเดียวกันต่อไป อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชต้องยกเลิกวิธีการลงโทษแบบนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการ
ถกเถียงในระหว่างนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการกล่าวร้ายของนายเดอ ลา ลู แบร์ เท่านั้น
กฎหมายต้านโกงหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงของสยามนั้นได้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา โดยเรียกว่าพระไอยการอาชาหลวง ซึ่งหมายถึงกฎหมายพระอัยการลักษณะอาญา โดยตราขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ พระเจ้าอู่ทอง เมื่อปีพ.ศ. ๑๘๙๕ โดยบทบัญญัติส่วนใหญ่ เป็นบทลงโทษข้าราชการที่ทุจริตที่ประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ
และยังมีบทบัญญัติให้ราษฎรสามารถร้องเรียน หรือฎีกาฟ้องร้องขุนนางข้าราชการที่น่าจะมีความผิดในลักษณะต่างๆ ในกรณีที่มิได้รับความเป็นธรรม โดยสามารถร้องทุกข์ได้ในหลายกรณี เช่น การละเว้นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่เพราะเห็นแก่สินบน การข่มเหงราษฎร การเบียดบังพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์ การเบียดบังส่วยอากร โดยพระไอยการอาชาหลวงนี้ ได้ถูกใช้ต่อเนื่อง มีการปรับปรุงเพิ่มเติม มาเป็นระยะๆ จนถูกยกเลิกไปในปีพ.ศ. ๒๔๕๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช ซึ่งได้มีการตรากฎหมายรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยขึ้น รวมระยะเวลาที่มีการใช้พระไอยการอาชาหลวงนานถึง ๕๕๖ ปี
คดโกงทุจริตคอร์รัปชั่นของขุนนาง ข้าราชการ และผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารประเทศนั้น ได้มีมาอย่างต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย แม้แต่เมื่อตอนที่คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ. ๓๔๗๕ ก็มีการโกงและยักยอกเอาพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าอยู่หัวไปเป็นจำนวนมาก
เรื่องเลวร้ายดังกล่าวยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แต่ที่ต้องถือว่าเป็นความเลวร้ายมากอีกครั้งหนึ่งก็คือการทุจริตคอร์รัปชั่นของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีอยู่อย่างน้อยถึง ๒ คน ซึ่งก็มาจากตระกูลเดียวกันด้วย ที่ได้กระทำผิดในเรื่องดังกล่าวและไม่ใช่เป็นเรื่องของการถูกกล่าวหา หรือที่มีคนบางกลุ่มมักพูดว่าเป็นผลพวงของการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะเรื่องนี้นั้นในที่สุดศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิจารณาและตัดสินลงโทษ โดยการพิพากษาให้จำคุกซึ่งทำให้ทั้งสองคนนั้นต่างก็หนีออกนอกประเทศ
และถึงแม้ว่าอดีตนายกฯผู้พี่ จะได้ขอเดินทางกลับมาเมืองไทยเพื่อรับโทษ ซึ่งเป็นโทษจำคุก ในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ประพฤติมิชอบ ๓ คดี รวม ๘ ปีแต่ก็ได้ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยยอมรับว่าทำผิดจริง ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้ทรงมีพระเมตตาอย่างที่สุด ได้พระราชทานอภัยลดโทษให้เหลือเพียง ๑ ปี แต่กลับใช้กระบวนการด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกันกับนักการเมืองและข้าราชการที่เห็นชั่วเป็นดี จนทำให้การจำคุกนั้นเสมือนกับไม่ได้ถูกจำคุกจริง โดยอ้างเหตุผลของการเจ็บป่วยวิกฤต ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบและการยืนยันจากแพทยสภา ก็พบว่าเป็นเรื่องโกหกจึงถูกศาลฯนำเรื่องกลับเข้าสู่การพิจารณาใหม่ และตัดสินว่าจะต้องกลับไปจำคุกเป็นระยะเวลา ๑ ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษไว้
หากอดีตนายกฯผู้นี้เป็นเหมือนคนทั่วไป และมีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อถูกศาลสั่งให้กลับไปติดคุกนั้น ก็ไม่ควรจะดำเนินการเพื่อจะขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำอีกแล้ว แต่กลับกระทำสิ่งนั้นซึ่งเป็นการรบกวนเบื้องพระยุคลบาท อันเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้รู้จักในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เรื่องใดที่ควรทำ เรื่องใดที่ไม่ควรทำ อย่างชัดเจน
การเมืองไทยในสภาพปัจจุบัน ที่กล่าวกันว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่ในสภาพที่เกือบจะเรียกว่าเน่าเฟะมีแต่การแข่งขันแย่งชิงอำนาจ มีความพยายามของบางบางพรรคเมือง ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยยกเลิกมาตรา ๑ มาตรา ๒ และ กฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ซึ่งหากทำเช่นนั้นสำเร็จ ก็เท่ากับการลดพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่มิบังควร และเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้
ใครก็ตามที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นไทย ของแผ่นดินถิ่นที่อยู่ ที่ถูกสร้างมายาวนานร่วม ๘๐๐ ปี โดยมีองค์พระมหากษัตริย์ และสถาบัน เป็นเสมือนศูนย์รวมใจ ของประชาชน ที่ได้ต่อสู้และรักษาชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด ยอมได้แม้แต่การแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่เนรคุณต่อแผ่นดิน
จะเห็นได้ชัดเจนว่าประเทศที่เคยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองในอดีตนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและสถาบันกษัตริย์หายไป ประเทศต่างๆ เหล่านั้น กลับไม่สามารถจะพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนไม่ได้อยู่ดีมีสุข ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติหายไป นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศจะครองอำนาจกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ มีเรื่องโกงกิน แล้วก็ถูกโค่นอำนาจ ผลัดเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้ จนประเทศไม่สามารถตั้งหลักได้
ประเทศทางแถบอาหรับที่เคยมีระบบกษัตริย์ และถูกต่างชาติที่เป็นมหาอำนาจแทรกแซงกิจการภายในโดยความตั้งใจ หลังจากระบบกษัตริย์ล่มสลายบ้านเมืองต่างๆ เหล่านั้นก็มีแต่ความวุ่นวายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นอิรัก ซีเรีย ลิเบียหรือประเทศที่อยู่ในแถบเอเชีย เช่น ประเทศเนปาล ก็เพิ่งเกิดความวุ่นวาย จากการโกงกินของนักการเมืองทั้งหลาย
รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็กำลังเกิดปัญหาที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมืองถึงแม้จะมีระยะเวลาเพียงแค่ ๓ เดือนเศษ เนื่องจากถูกกล่าวหาในเรื่องของการกระทำของรัฐมนตรี ที่อาจจะเข้าข่ายทุจริตคดโกงหรือประพฤติมิชอบ การกล่าวหานั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่กระทำโดยพรรคฝ่ายค้านหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วย เรื่องที่ถูกกล่าวหาก็มีทั้งเรื่องเดิมๆ ที่ตกทอดมาจากสมัยรัฐบาลชุดก่อน รวมทั้งเรื่องกล่าวหาใหม่ซึ่งถึงกับทำให้ท่านให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความรู้ความสามารถ และไม่ใช่นักการเมืองโดยสายเลือดต้องตัดสินใจลาออกเพื่อจะแสดงบริสุทธิ์ใจ และยังมีรัฐมนตรีท่านอื่นอีกด้วยที่เป็นประเด็นอยู่
การจะกล่าวหาใครนั้น ในสังคมไทยกลายเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่เป็นเรื่องของเบาะแสหรือเป็นแค่เรื่องที่พูดต่อกันมา ก็จะมีคนหลงเชื่ออย่างง่ายดาย แม้แต่สามารถจะนำไปพูดในที่ประชุมของผู้ที่คิดว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ คือการประชุมสภาหรือรัฐสภา แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าผู้ที่ออกมากล่าวหานั้น มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่จะยืนยันได้และนำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายอย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่การลงโทษ มีข่าวบางกระแสว่านักการเมืองบางพรรคนั้นได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจในการกล่าวหา เพื่อให้เกิดความแตกแยกขึ้นในประเทศไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะดี แต่ก็จะเห็นอยู่บ่อยๆ ในการประชุมดังกล่าว โดยใช้คำพูดที่รุนแรง อันไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ซึ่งก็เชื่อว่าจะต้องมีการนำไปสู่การฟ้องร้องในฐานหมิ่นประมาท ซึ่งก็ต้องคอยดูต่อไป
ในขณะที่ชาติกำลังมีภัยจากคนที่อยู่ข้างบ้านในเรื่องของสงครามแย่งชิงเขตแดน จนต่อเนื่องไปถึงเรื่องแก๊งสแกมเมอร์ระดับโลกซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ในเขมร ใกล้ชายแดนไทย เช่นบริเวณปอยเปต โดยเรื่องหลังนี้ถูกโยงไปถึงการที่นักการเมืองหรือรัฐมนตรีบางคนของไทยมีผลประโยชน์ร่วมอยู่ในกระบวนการนั้นๆ ที่ประกอบไปด้วยกลุ่มที่ถูกเรียกว่า จีนเทา เขมรเทา หรือไทยเทาก็แล้วแต่ อันเป็นเรื่องที่รัฐบาลและฝ่ายผู้รักษากฎหมายที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรีบจัดการ ส่วนพรรคการเมืองต่างๆนั้นจะต้องใช้โอกาสนี้ในการร่วมมือกัน โดยมีจุดยืนเดียวกัน เพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ เพื่อสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ในการที่จะต่อสู้กับศัตรูของชาติ อย่ามัวแต่คิดที่จะเข่นฆ่าและแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน อันเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์แต่อย่างใด ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งสิ้นชาติของเรายังจะต้องอยู่ในสภาพแห่งความแตกแยกอย่างนี้ไปอีกนานเท่าใด
ปิยะ เนตรวิเชียร

‘ในหลวง-พระราชินี’เสด็จฯทรงร่วมขบวนเชิญพระบรมศพ สมเด็จพระพันปีหลวง ไปยังพระบรมมหาราชวัง
พระราชทานพระบรมราชานุญาต ปชช.ถวายสักการะ เบื้องหน้า‘พระฉายาลักษณ์’ทุกวัน เริ่มตั้งแต่27ตุลาคม2568
ถอนอาวุธ-กู้ระเบิด ‘อนุทิน-ฮุนมาเนต’ลงนาม
‘ทะเลเดือด’กลับมาบู๊ระห่ำ ช่วง ‘ละครรีรันบ่าย’
‘ข้าวตู’ เผย บท ‘สารวัตรพิชิต’แสนดีเกินเหตุ ชวนแฟน ๆ ‘พรหมพยศ’ รอลุ้น

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี