วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นสิ่งที่ผู้ที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทยทุกคนควรจะต้องศึกษา เพื่อให้ทราบถึงความเป็นมาของชาติกำเนิดของตัวเอง ซึ่งหากได้ศึกษาตามสมควร ก็น่าจะทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชาติของเรามากขึ้นมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของชาติ รู้เรื่องของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้สร้างชาติ และยังคงปกป้องรักษาชาติมาโดยตลอด
ในประวัติศาสตร์ของชาตินั้น มีพระมเหสีซึ่งก็คือพระราชินีของพระมหากษัตริย์บางพระองค์ ได้ปฏิบัติพระราชภารกิจเคียงคู่กับพระมหากษัตริย์ด้วยความเข้มแข็ง กล้าหาญและเสียสละ ซึ่งหนึ่งในพระมเหสีที่ได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่งในวีรกรรมความกล้าหาญก็คือสมเด็จพระศรีสุริโยทัยพระมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ของอาณาจักรอยุธยา
พระนามของพระมหาจักรพรรดิก่อนขึ้นครองราชย์คือพระเทียรราชา พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระยอดฟ้า โดยในช่วงนั้นมีขุนนางผู้หนึ่งพยายามที่จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยการสมคบคิดกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นพระสนมเอกของพระไชยราชาธิราช
เมื่อพระไชยราชาธิราชสวรรคต พระราชโอรสองค์ใหญ่คือพระยอดฟ้าจึงได้ขึ้นครองราชย์ แต่เนื่องจากมีพระชนมรรษาเพียง ๑๑ พรรษา จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นแม่จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ แต่ก็ได้คบคิดกระทำการอันถือว่าเป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพ ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งได้รับการเลื่อนยศจนเป็นขุนวรวงศาธิราช
เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ขุนนางและข้าราชบริพารของสมเด็จพระไชยราชาธิราชส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และได้กระทำการสำเร็จโทษทั้งขุนวรวงศาธิราช และแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ เมื่อกระทำการสำเร็จแล้วจึงได้ไปกราบทูลเชิญพระเทียรราชา พระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งขณะนั้นผนวชอยู่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระไชยราชาธิราชให้มาขึ้นครองราชย์แทน
พระเทียรราชาได้ขึ้นครองราชย์โดยปราบดาภิเษกเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติมากพอสมควร เพราะเป็นยุคที่อาณาจักรอยุธยาและอาณาจักรหงสาวดี เริ่มเกิดสงครามระหว่างกัน
และสงครามที่ทำให้เกิดวีรสตรีของชาติก็คือเมื่อครั้งที่พระเจ้าตะเบงชเวตี้แห่งอาณาจักรหงสาวดียกทัพมารบกับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในการรบครั้งนั้น พระมหาจักรพรรดิได้ยกทัพออกไปต่อสู้ โดยผู้ที่ร่วมทัพไปประกอบด้วยสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและพระราชโอรสอีก ๒ พระองค์ คือสมเด็จพระราเมศวรและสมเด็จพระมหินทราธิราช
บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวไว้ โดยสรุปได้ว่า ณ วันอาทิตย์ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีพุทธศักราช ๒๐๙๑ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้เสด็จพยุหโยธาออกไปดูกำลังข้าศึกที่ทุ่งภูเขาทอง โดยเสด็จทรงช้างต้นพลายแก้วจักรพรรดิ พระศรีสุริโยทัยผู้เป็นเอกอัครมเหสี ประดับพระองค์เป็นมหาอุปราช เสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์พระราเมศวรเสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลจักรวาล และพระมหินทราธิราชเสด็จทรงช้างต้นพรายพิมานจักรพรรดิ
กองทัพฝ่ายอยุธยาที่นำโดยพระมหาจักรพรรดิ ได้ปะทะกับกองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นทัพหน้าของพระเจ้ากรุงหงสาวดีและได้เข้าทำยุทธหัตถีกัน ช้างพระที่นั่งของพระมหาจักรพรรดิเสียที หันหลังหนีข้าศึก พระเจ้าแปรก็ทรงขับช้างไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด พระศรีสุริโยทัยทอดพระเนตรเห็นเกรงพระราชสวามีจะเป็นอันตราย จึงทรงขับช้างทรงเข้าขวางช้างข้าศึกไว้ พระเจ้าแปรไม่สามารถติดตามต่อได้ จึงหันมาทำยุทธหัตถีกับพระศรีสุริโยทัยช้างของพระเจ้าแปรได้เปรียบ เสยช้างของพระศรีสุริโยทัยจนเท้าหน้าทั้งสองลอยพ้นพื้นดิน ทำให้พระเจ้าแปรได้โอกาส ฟันพระศรีสุริโยทัยด้วยพระแสงของ้าว ต้องพระอังสาขาดถึงราวพระถัน สิ้นพระชนม์ซบลงกับคอช้าง
พระราเมศวรและพระมหินทราธิราช ติดตามเข้ามาช่วยพระศรีสุริโยทัยไม่ทัน แต่ก็ได้ต่อสู้กับพระเจ้าแปร และกันพระศพของพระศรีสุริโยทัยกลับเข้ากรุงได้ ฝ่ายแม่ทัพพม่าเมื่อทราบว่าพระศรีสุริโยทัยที่สิ้นพระชนม์นั้นเป็นสตรีเพศก็ละอายแก่ใจและยกทัพกลับ
พระมหาจักรพรรดิโปรดให้ตั้งการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ณ สวนหลวง และให้สถาปนาที่พระราชทานเพลิงเป็นพระอาราม เพื่ออุทิศพระราชกุศลพระราชทานแด่พระอัครมเหสี ประกอบด้วยพระเจดีย์ พระวิหาร แล้วพระราชทานนามพระอารามอันเป็นพระราชานุสรณ์แห่งสมเด็จพระศรีสุริโยทัยนี้ว่าวัดสบสวรรค์ ซึ่งพระเจดีย์ที่ได้รับการเรียกว่าพระเจดีย์ศรีสุริโยทัยและซากพระวิหารยังปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นพระราชานุสรณ์และปูชนียสถานที่สำคัญ
พระเกียรติคุณแห่งความเสียสละ อันยิ่งใหญ่ ตลอดจนความกล้าหาญ ที่ปรากฏนั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ และได้รับการสรรเสริญเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นต่างๆ ทำให้พระศรีสุริโยทัยได้รับการขนานพระนามว่าพระวีรกษัตรี
วันศุกร์ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๒๑.๒๑ น. เป็นวันและเวลาแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติและประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จ สวรรคต อันนำมาซึ่งความเศร้าโศก เสียใจ เป็นอย่างยิ่งของประชาชนชาวไทยทั่วทุกสารทิศ แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องพระประชวรของพระองค์ท่านมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อนว่าพระองค์จะเสด็จสู่สวรรคาลัย โดยพระอาการสงบในวันนั้น รวมสิริพระชนมพรรษา ๙๓ พรรษา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ พระอิสริยยศเดิมคือหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕
พระองค์เริ่มการศึกษาชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด ต่อมาได้ย้ายไปศึกษาชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ พระองค์ทรงได้รับการปลูกฝังให้เป็นผู้รู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเสียสละ และความมีเมตตาต่อผู้อื่น
ต่อมาได้ติดตามหม่อมเจ้านักขัตรมงคล พระบิดาที่ไปเป็นทูตยังต่างประเทศ จึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งทำให้พระองค์ได้พบกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และได้มีรับสั่งให้หม่อมหลวงบัวและพระองค์เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ จนพระอาการประชวรทุเลาลง
สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งให้พระองค์อยู่ศึกษาต่อที่โรงเรียนประจำในเมืองโลซานน์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัว มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีได้มีรับสั่งขอพระองค์ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคล และได้ประกอบพิธีหมั้น
วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และต่อมาในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทรงเฉลิมพระยศเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายเป็นอย่างมาก เสด็จฯไปในทุกพื้นที่ รวมทั้งถิ่นทุรกันดาร เพื่อเยี่ยมเยือนและบำบัดทุกข์บำรุงสุขของอาณาประชาราษฎร์ ด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็งอดทน รวมทั้งมีพระราชดำริเริ่มโครงการใหม่ช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์อย่างมหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนถึงทุกวันนี้ อันนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
พระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ในฐานะแม่แห่งชาติผู้ทรงอุทิศพระชนม์ชีพเพื่อการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจแก่ปวงชนชาวไทย และเพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของประเทศไทย
หากคำว่าวีรสตรีหมายถึงสตรีผู้กล้าหาญ มานะ พากเพียร ก็กล่าวได้ว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทุกอย่างเพื่อประชาชน ด้วยความกล้าหาญ มานะ พากเพียร จึงทรงเป็นวีรสตรี มหาราชินีของชาติและปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ปิยะ เนตรวิเชียร

'ณวัฒน์' เดือด!พาตำรวจลงตรวจสอบกอง MU หลังนำป้ายโปรโมทเว็บพนันวางในโรงแรมเก็บตัวนางงาม
‘นายกฯ’ต้อนรับ‘ลี เซียนลุง’อดีตนายกฯ สิงคโปร์ หลังเข้าถวายสักการะพระบรมศพ'พระพันปีหลวง'
‘กรมชลประทาน’เร่งหน่วงน้ำ หลัง‘ร่องมรสุม’ทำพิษ‘น้ำเหนือ’เพิ่มสูงขึ้น
‘กล้าธรรม’ซัด‘โรม’ปั้นข้อมูลเท็จ เจตนาใส่ร้าย ลั่น‘ธรรมนัส’ไม่เกี่ยวสแกมเมอร์
ศาลรธน.ให้พยานบุคคลทำบันทึกถ้อยคำยื่นในเวลาที่กำหนดปม'ภูมิธรรม-ทวี'ยุ่งคดีฮั้วเลือกสว.

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี