วันจันทร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ราชอาณาจักรไทย ตั้งอยู่บนดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิหรือแผ่นดินทอง จึงเป็นแผ่นดินที่ชาวต่างชาติทั้งหลายอยากจะได้มาพักพิง ทำมาค้าขาย หรือกระทั่งอพยพจากแดนดินของตัวเองมาปักหลักอยู่อาศัยทำมาหากิน สร้างชีวิตใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันนี้
ชาติหนึ่งที่มาทำการค้าขายกับอาณาจักรที่เคยถูกเรียกว่าอาณาจักรสยาม ที่เริ่มจากกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีนั้นคือชาติจีน และก็เป็นชาติที่มีคนเข้ามาทำมาค้าขายอย่างต่อเนื่องยาวนานผ่านจากอาณาจักรสุโขทัยมาสู่อาณาจักรอยุธยาจนกระทั่งถึงอาณาจักรรัตนโกสินทร์
หลายคนอาจจะงงกับข่าวที่บอกว่า ปีนี้เป็นปีที่ราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีสัมพันธไมตรีครบ ๕๐ ปี ซึ่งดูเป็นเวลาที่สั้นเหลือเกิน ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงเวลาระยะเวลาหนึ่งนั้นมีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลไทยไม่ยอมรับ จนกระทั่งต่อมาได้เห็นว่าประเทศแต่ละประเทศก็ย่อมมีอิสระที่จะเลือกระบอบการปกครองของตัวเอง ให้เหมาะสมกับลักษณะและบริบทของแต่ละประเทศ จึงเกิดการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
ในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ต่อเนื่องจนถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์ชิงของจีนเริ่มเสื่อมและสูญเสียอำนาจ เกิดความวุ่นวายในประเทศ พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนเกิดความแห้งแล้งไปทั่ว ทำให้ชาวจีนจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาตกอยู่ในภาวะยากจน ข้าวยากหมากแพง จึงอพยพหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของตัวเองมายังประเทศไทยซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยใช้เรือสำเภาอพยพมาทางทะเล ยอมเสี่ยงตายจากพายุคลื่นลมที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง จนขึ้นฝั่งไทยในหลายบริเวณทางด้านชายทะเลฝั่งตะวันออกไปจนถึงทางใต้
ชาวจีนที่อพยพมานั้น มีทั้งกลุ่มที่ต้องการแสวงหาอนาคตที่ดีกว่าโดยสุจริต ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่เป็นมิจฉาชีพ ที่มาจากสมาคมลับที่ก่อตั้งในจีนเพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิงแอบซ่อนปะปนมาด้วยจำนวนหนึ่ง และเมื่อมาถึงไทยก็มีการรวมตัวของกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้สร้างอิทธิพลประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย ปล้นฆ่ารีดไถ มีการค้าฝิ่นตั้งบ่อนการพนัน ข่มขู่กรรโชกทรัพย์ เรียกค่าคุ้มครอง จนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว มีการตั้งสมาคมลับเกิดขึ้น ซึ่งถูกขนานนามว่า “อั้งยี่” ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๔๙๓ ได้บัญญัติคำนี้ไว้ว่า หมายถึง การรวมตัวหรือการสมาคมใดที่ทำการไม่ต้องตามกฎหมาย
อั้งยี่ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว แต่มีหลายกลุ่มกระจัดกระจายกันอยู่ ในหลายพื้นที่ โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะมีรูปแบบการปกครอง แบ่งลำดับชั้นของหัวหน้า โดยหัวหน้าใหญ่สุดจะถูกเรียกว่าตั้วเหี่ย รองลงมาคือยี่เหี่ย และซาเหี่ยตามลำดับ ส่วนสมุนนั้นจะถูกเรียกว่าเฉาเอย
การพยายามสร้างอิทธิพลของอั้งยี่นั้นมีมากขึ้นตามลำดับ จนต้องเริ่มมีการปราบปราม โดยกลุ่มแรกที่ถูกปราบปรามนั้นมาจากเรื่องของการค้าขายฝิ่น ที่ตำบลแสมดำ บริเวณปากน้ำบางปะกง จังหวัดสมุทรปราการ ในปี พ.ศ. ๒๓๘๗ มีผู้เสียชีวิตไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีกลุ่มที่กำเริบเสิบสานถึงขนาดที่จะก่อการกบฏ ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นที่เมืองฉะเชิงเทราในปี พ.ศ.๒๓๙๑ และอีกครั้งหนึ่งที่ภูเก็ตในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๑๙ ซึ่งรุนแรงมาก มีผู้คนเสียชีวิตและวัดวาอารามถูกเผาทำลาย ถึงขนาดที่สมเด็จพระนั่งเกล้าต้องส่งทหารไปปราบปราม เกิดเป็น
สงครามย่อยๆ ซึ่งเรียกว่าการปราบกบฏอั้งยี่
อั้งยี่ในไทยสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖เมื่อได้มีการออกกฎหมายห้ามสมาคมลับ และได้มีการปราบปรามอย่างเด็ดขาดในช่วงปี พ.ศ.๒๔๕๓ ถึง ๒๔๖๕
ชาติไทยของเรายังเป็นที่สำหรับผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นของชาติเพื่อนบ้าน ซึ่งในที่สุดกลับกลายเป็นผู้ทรยศซึ่งก็คือเขมร โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขมร เกิดสงครามเขมรแดง ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรในปี พ.ศ.๒๕๑๘ ทำให้ผู้คนชาวเขมรเสียชีวิตไปประมาณ ๒ ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนถึง ๑ ใน ๔ ของชาวเขมรในขณะนั้น
ในช่วงนั้น มีชาวเขมรประมาณ ๔ แสนคน อพยพหลบหนีจากการถูกฆ่าล้างโคตรเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนไทย เช่น ชายแดนจังหวัดตราดรวมทั้งบริเวณบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นปัญหากันอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยสมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีพระราชดำริด้วยพระเมตตาให้จัดตั้งศูนย์พักพิงรองรับผู้อพยพเหล่านั้น แต่หลังเหตุการณ์สงบชาวเขมรเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็ไม่ยอมอพยพกลับไป กลับยึดครองแผ่นดินไทยที่มาอาศัยอยู่ และอ้างว่าเป็นแผ่นดินของตัวเองโดยไร้ยางอายและไม่สำนึกในบุญคุณที่ชาติไทยได้มีให้เลย
จากการที่อดีตนายกรัฐมนตรีของเขมรซึ่งเป็นอดีตเขมรแดง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ไม่สามารถจะพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศได้ เพราะไม่สามารถจะสร้างผลผลิตต่างๆ อันจะนำรายได้เข้าสู่ประเทศ รวมทั้งมุ่งหาประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก จึงทำให้เกิดการคบคิดกับกระบวนการของชาวจีนที่ทำมาหากินแบบผิดกฎหมาย แต่มีความรู้ในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการคดโกง จนในที่สุดเกิดเป็นแก๊งของกลุ่มผู้หลอกลวงที่เรียกว่าแก๊งสแกมเมอร์ กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่บริเวณชายแดนเขมรที่เชื่อมต่อถึงประเทศไทย อาทิ ปอยเปต โดยจะแทรกตัวอยู่ในบ่อนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นบังหน้า ใช้เป็นสถานที่ในการทำการหลอกลวง ฟอกเงิน และเป็นสถานที่ปฏิบัติการของแก๊งต่างๆ เหล่านี้
แก๊งเหล่านี้จะล่อลวงผู้คนจากประเทศอื่นไปทำงานด้วย โดยหลอกว่าหากไปทำงานกับแก๊งเหล่านี้จะได้ค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่โดยความจริงแล้วเป็นการทำงานที่ผิดกฎหมาย และจะถูกกดดัน ทำร้ายจนอาจจะเสียชีวิต หากไม่สามารถสร้างรายได้ตามเป้าให้กับแก๊งได้
แก๊งสแกมเมอร์เหล่านี้ ซึ่งเดิมเริ่มต้นเป็นชาวจีนนั้น จึงถูกเรียกว่าเป็นจีนเทา ซึ่งต่อมาก็มีการขยายกระบวนการไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านและอื่นๆ เกิดเป็นพวกเขมรเทา ไทยเทาและน่าจะมีเทาอื่นๆ อีกด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการหลอกลวงเอาเงินจากผู้ตกเป็นเหยื่อก่อนที่จะนำไปฟอกให้เป็นเงินบริสุทธิ์ ไปทั่วทั้งโลก
รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งถูกกล่าวหาว่ารัฐมนตรีในคณะบางคนอาจจะเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์กับแก๊งสแกมเมอร์ต่างๆ เป็นการกล่าวหาโดยการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ส่วนบุคคลจากคนหนึ่งไปสู่คนอื่นที่อาจจะเกี่ยวพันกับแก๊งเหล่านั้นแต่ก็ไม่สามารถจะระบุตัวโดยมีหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมายได้
การประกาศของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ให้การจัดการโดยเด็ดขาดในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศไทยเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนต่างๆ ที่จะต้องเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานร่วมกันทั้งหมด ๑๕ หน่วยงานนั้น จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นการยืนยันถึงความโปร่งใสของรัฐบาลชุดนี้ในการเข้ามาบริหารประเทศ ตลอดจนเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องกับประชาคมโลกซึ่งทุกประเทศให้ความสำคัญและเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ที่กระจายอยู่ทั่วไปในหลายประเทศแล้วขณะนี้
หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มยึดทรัพย์ของแก๊งสแกมเมอร์ เช่น สหรัฐอเมริกาได้ยึดทรัพย์แล้วจำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านเหรียญ หรือประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท อังกฤษยึดทรัพย์ไปแล้วมากกว่า ๔ พันล้านบาท ส่วนในประเทศไทย มีเงินสีเทาซึ่งรัฐบาลไทยจับตามองอยู่เป็นจำนวนประมาณ ๒๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งน่าจะต้องดำเนินการยึดทรัพย์เมื่อพบหลักฐานชัดเจน ส่วนในสิงคโปร์นั้นได้มีการเพิ่ม บทบัญญัติการลงโทษพวกแก๊งสแกมเมอร์ นอกจากจะเป็นคดีอาญาซึ่งต้องจำคุกแล้วยังจะมีการถูกเฆี่ยนด้วยหวายขนาดครึ่งนิ้วเป็นจำนวนมากได้ถึง ๒๔ ครั้ง เพื่อให้เข็ดหลาบและเป็นการประจานด้วยทั้งนี้ประเทศสิงคโปร์นั้นมีการยึดทรัพย์แก๊งสแกมเมอร์ไปแล้วมากกว่า ๓,๗๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้มีผู้สูญเสียเงินจากแก๊งสแกมเมอร์ไปแล้วคิดเป็นเงินไทยมากกว่า ๙๒,๐๐๐ ล้านบาท
เมื่อเป็นวาระแห่งชาติแล้ว ก็หวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ลูบหน้าปะจมูก และดำเนินการให้เห็นผลอย่างชัดเจนในระยะเวลาที่เหลือของการทำหน้าที่รัฐบาล ซึ่งเหลือระยะเวลาอีกเพียงแค่ ๒ เดือนเศษเท่านั้น ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายมาก แต่หากทำเช่นนั้นได้จริง ก็จะชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไปในใกล้ช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะสร้างโอกาสในการกลับมานั่งเก้าอี้เป็นรัฐบาลได้อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน
ปิยะ เนตรวิเชียร

น้ำในหลุมศักดิ์สิทธิ์ โซเชียลฮือฮา!ชาวบ้านกราบขอโชค‘กระโปกพระร่วง’
'สิริพงศ์'ฟาด'จอม-ทวี'ทำการบ้านน้อย กล่าวหา MotoGP เอื้อธุรกิจใคร
'สมชาย'ชวนจับตา! ปฏิบัติการจับ'ไทยเทา'เร็วๆนี้
สุดโรแมนติก! 'ใหม่-เต๋อ'จูงมือเข้าพิธีวิวาห์หวานราวเทพนิยาย
ผบช.ภ.4 สั่งทุกโรงพักเอกซเรย์เร่งปราบยาเสพติด-อาชญากรรมทุกรูปแบบ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี