l การไปร่วมงานศพและฟังบทสวดฯ จากพระภิกษุฯ : ทำให้เห็นความจริงของชีวิต
๑.หนึ่งร่างของเพื่อน ที่นอนอยู่ในโรงศพ พร้อมที่จะนำเข้าสู่เมรุ แล้วเผา ส่งร่างกลับไปสู่ธรรมชาติ ที่มา
๒.เจอญาติพี่น้อง ที่มาส่ง “บุคคลอันเป็นที่รัก” ที่ได้จากไป
๓.พบเพื่อนมิตรที่มาร่วมงานฯ
๔.ได้เห็น และรับรู้ บรรยากาศ อารมณ์
ความรู้สึกที่ได้แสดงออกมา ในช่วงของงานฯ
๕.ได้รับหนังสืองานศพ (ที่เขียนบอกถึงประวัติชีวิต และความรู้สึกของผู้อยู่ อันเป็นที่รัก ถึงผู้จากไปฯ)
๖.เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ว่า คนเราทุกๆ คนก็จะต้องตายจากไปฯ
เราจึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท
เราควรรักษาสุขภาพ กายใจ ให้เข้มแข็งแข็งแรงเสมอ
เราควรใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ความหมาย และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
l การไปร่วมงาน ส่งเพื่อนมิตรไปสู่สุคติ
เป็นการแสดงความคิด ความรู้สึก ของ “ความเป็นกัลยาณมิตร”
๑.ต่อครอบครัว “ภรรยา สามี ลูก และญาติที่พี่น้องของผู้จากไป
เพราะการมีเพื่อน ญาติมิตรฯ ไปร่วมงานฯ มีส่วนทำให้ “ครอบครัวฯ” คลายความทุกข์โศก ให้เบาบางลงมีความปลื้มปีติ ถึง คุณค่า ความดีงาม ของผู้จากไปอันเป็นสุดที่รักฯ
๒.ต่อตัวเราเอง เป็นการแสดงถึงความเป็นเพื่อนมิตรที่แท้จริง ควรจะต้องมีอยู่ แสดงออกต่อกัน
ทั้งในยามเรียน ทำงาน อยู่ ยามสุข ทุกข์ ยามเจ็บป่วย และที่สำคัญยามจากไปและในระหว่างการฟังพระสวดฯ ฟังประวัติของเพื่อนที่จากไป (จากลูกหลาน ที่ได้มาอ่านประวัติฯ) เราฟังด้วย ความสงบ ใช้สติ ปัญญา คิด “ถึงตัวเอง”
เราควรจะใช้ชีวิตอย่างไร? ในเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่นานนัก !
l เป็นธรรมดา และปกติ : ที่ผมมักจะไปร่วมงานที่สำคัญของเพื่อนมิตร
-งานแต่งงานของเพื่อน งานศพของพ่อแม่(เพื่อน)
-งานแต่งงานของลูก ฯลฯ
-การไปเยี่ยมเพื่อนที่เจ็บป่วยหนักฯ และงานศพของเพื่อน
ได้เห็น “ความสุข ความดีใจ + ความโศกเศร้า ความทุกข์ฯ” อันเป็นสัจธรรมของชีวิต ทั้งเขาและเรา : เพียงแต่ “ใครมาก่อน มาหลัง”
l เกิด แก่ เจ็บ ตาย : เป็นสัจธรรมของมนุษย์
เราจะรัก จะชอบ จะเกลียด จะชัง : เราทุกคน ก็ต้องพานพบ ไม่มีใครหนีรอดไปได้!
หัวใจ สำคัญ คือ เราจะ เข้าใจ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” อย่างไร? และจะทำอย่างไร? จึงจะมีคุณค่า ความหมาย และประโยชน์ต่อตัวเอง ผู้อื่น และส่วนรวม
พระพุทธเจ้า สอนให้เรามองสถานการณ์ทุกอย่าง ในแง่ที่เอามาใช้ประโยชน์ได้
หลักการนี้เรียกว่า “โยนิโสมนสิการ”
คือการทำในใจโดยแยบคาย แม้แต่สิ่งที่ร้ายที่สุดคือความตายนี้ : ถ้าคิดเป็นแล้ว ก็เป็นประโยชน์เอามาใช้พัฒนาชีวิต ให้ประสบสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์สุขได้
l วันนี้ เราได้พูดถึงคำสุดท้าย ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายของมนุษย์ คือ “ความตาย”
ธรรม (พระ) สอนให้เราทุกคนที่เป็นมนุษย์ รู้จักคิดรู้จักพิจารณาในเรื่องความตาย
โดยมองโยงเข้าไปหาหลักการพิจารณาประจำ ๕ ประการ (อภิณหปัจจเวกขณะ)
๑.เรามีความแก่หรือชราเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒.เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
๓.เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔.เราจะต้องประสบความพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น
๕.เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม เราทำกรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นทายาทของกรรมนั้น
l ความตาย เป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้
ในวัฒนธรรมไทย การมองว่าความตายเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้จะมาจากแง่มุมคำสอนพุทธศาสนาผ่านการเจริญมรณานุสติเพื่อระลึกถึงความตายอยู่เสมอ
สำหรับภิกษุผู้ระลึกถึงความตายอย่างเข้มข้นจะมีคำสอน “อสุภกรรมฐาน” เป็นการเพ่งพิจารณาศพที่ค่อยๆ เสื่อมสลาย
การไปงานศพ ส่งเพื่อนไปสู่สุคติ
เป็นการเรียนรู้ ถึง “ความตาย” ดีที่สุดเป็นรูปธรรมไป......
เป็นคุณค่าและความหมายของ “ความตาย” ที่ดีที่สุด
คือ “การใช้ชีวิตปัจจุบัน” : ด้วยการคิดดีทำดี เพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ผู้อื่นและส่วนรวม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี