สำนวนคนใต้ถ้า พูดว่า “ดักไซแห้ง” คือ การกะล่อน หลอกลวงหรือพูดลอยๆ เชื่อถือไม่ได้ เช่นรับปากว่าจะช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ได้ หรือวิ่งเต้นช่วยเหลือให้คนที่กำลังสอบเข้ารับราชการให้สอบผ่านได้โดยวิ่งเต้นกับผู้ใหญ่ให้
ถ้าบังเอิญคนที่สอบเข้ารับราชการหรือสอบผ่านเข้าโรงเรียนดังได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คนที่รับฝากลอยๆหรือดักไซแห้งก็จะได้รับการชื่นชมและได้รับสินจ้างรางวัลเป็นจำนวนมาก
ในกรณีนายรักไทย บูรพ์ภาค ที่อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อวิ่งเต้นประสานงานกับหลายฝ่ายในสหรัฐอเมริกา จนผลสุดท้ายสหรัฐตัดสินใจบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ประเทศเป็นจำนวน 1.5 ล้านโดส
พฤติกรรมการนั่งในกระเชอเผยอตัวเองของนายรักไทย ที่ได้รับการยกย่องชื่นชมจากนักเลงคีย์บอร์ดและสื่อจิตอ่อนทั้งหลาย เขากำลังจะได้รางวัลปลอบใจจากคนไทยจิตอ่อนอีกมากมายถ้านายไมเคิล ฮีธ รักษาการทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ไม่ออกมาเหยียบไซแห้งของนายรักไทย ให้แบบติดดินเสียก่อน
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2564 รักษาการทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยโพสต์คลิปวีดีโอ แก้ข่าวขี้โม้ของนายรักไทยใจความว่า “ตามที่สหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ว่าจะบริจาควัคซีนให้กับประเทศไทย....สถานทูตสหรัฐขอเน้นว่า “ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงแบบรัฐต่อรัฐ ไม่มีคนกลางในการเจรจา ทำเนียบขาว กระทรวงต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐ ทำงานโดยตรงกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขไทยในการบริจาควัคซีนครั้งนี้” (ฟังต่อฉบับเต็ม https://t.co/44u0oiY6gj)
หลังจากเน้นย้ำ ว่าข้อตกลงในการบริจาคครั้งนี้เป็นการประสานงานโดยตรงระหว่างทำเนียบขาว กระทรวงต่างประเทศสหรัฐและสถานทูตสหรัฐกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุขของไทยโดยตรงอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่มีคนกลาง ไม่มีหน้าม้าเข้ามาเกี่ยวข้องในการเจรจาแล้ว รักษาการทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ก็หยอดคำหวานแบบนักการทูตชื่นชมยกย่อง รัฐบาลไทย กระทรวงสาธารณสุข ตลอดถึงบุคลากรทางการแพทย์และทุกฝ่ายที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันสู้ภัยโควิด
และรักษาการทูตสหรัฐประจำประเทศไทยยังเน้นถึงความสัมพันธ์อันยั่งยืนยาวนานระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทย ฯลฯ
ต้องปรบมือยกนิ้วให้รักษาการทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยที่ออกมาเหยียบไซแห้งของนายรักไทยจนหน้าหงายเละ ทำให้คนไทยตัดสินได้ง่ายที่จะมอบรางวัล 18 มงกุฎให้นายรักไทย ผู้เคยได้รับการยกย่องจากคนไทยและสื่อไทยจิตอ่อนทั้งหลายถึงกับได้พาดหัวตัวไม้ว่า
เปิดใจ “รักไทย” ร่วมประสานจัดหาวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ
ข่าวของสื่อไทยสาธยายต่อไปว่า “รักไทยบูรพ์ภาค” อาจารย์ มศว ที่สื่อสังคมออนไลน์ยกให้เป็นมือดีลไฟเซอร์ เปิดใจว่า ได้ร่วมกับคนไทยในต่างแดนหลายกลุ่ม หาช่องทางเจรจานำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพช่วยประเทศยามวิกฤติและคาดหวังให้บุคลากรด่านหน้าเป็นกลุ่มได้วัคซีนก่อน
ก่อน ครม.อนุมัติให้กรมควบคุมโรค ลงนามในสัญญาการรับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ 1.5 ล้านโดส และวัคซีนจะเข้าสู่ประเทศไทยเร็วๆ นี้
นายรักไทย บูรพ์ภาค อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ที่ระบุว่า ได้ประสานกับฝ่ายการเมืองของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอดีต รมว.สาธารณสุข ในเรื่องวัคซีนบริจาค จนสื่อสังคมออนไลน์ยกให้เป็นมือดีลไฟเซอร์
นายรักไทยเล่าว่า เป็นความร่วมมือของคนไทยในต่างแดนหลายกลุ่ม รวมทั้งข้าราชการในสถานทูตเพื่อช่วยประเทศในสถานการณ์วิกฤติ เนื่องจากเคยศึกษาที่ประเทศสหรัฐฯ ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
รวมทั้งมีประสบการณ์ทำงานในสหรัฐฯ และก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปฉีดวัคซีนที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้เห็นว่ามีวัคซีนเหลือจำนวนมากจึงประสานสอบถามไปยัง 3 มลรัฐ ในสหรัฐฯถึงการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีนที่เหลือพบว่า วัคซีนทั้งหมดจะส่งไปยังหน่วยงานกลางของทางสหรัฐฯ ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อกับทางผู้ว่าการรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาช่องทางว่าจะนำวัคซีนส่วนนั้นมาช่วยแก้ไขปัญหาในไทยได้หรือไม่
จนได้รับทราบว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายจะบริจาควัคซีนให้กับประเทศต่างๆ 80 ล้านโดส แต่ก็ยังกังวลว่า ไทยจะได้รับความช่วยเหลือด้วยหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ จึงได้หาช่องทางประสานงานต่างๆ ทุกช่องทางรวมทั้งคนไทยในสหรัฐฯ จนสามารถติดต่อกับอดีต รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องแผนวัคซีนของทางสหรัฐฯ ตั้งแต่เริ่มแรก
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการวัคซีนบริจาคลอตนี้ เคยมีโอกาสพูดคุยกับกลุ่ม สส.และอดีตสส.ของพรรครีพับลิกัน ว่า ความจำเป็นเร่งด่วน ควรจะให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มต่อมาคือกลุ่มอายุ 12-18 ปี และให้ชาวอเมริกันในไทยได้รับวัคซีนด้วย
นายรักไทย สะท้อนมุมมองการบริหารจัดการวัคซีนของไทยที่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าว่าขณะนี้อยู่ในสถานการณ์วิกฤติ “วัคซีนต้องเข้าหาคนไม่ใช่คนไปหาวัคซีน ไม่ได้โจมตีใคร เพียงแต่มองว่า ทุกขั้นตอนควรสะดวกสำหรับประชาชน”
นายรักไทยกล่าวด้วยว่า ไม่ได้มีเจตนาหรือความคิดที่จะปูทางสู่การเป็นนักการเมือง แม้จะรู้จักกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แต่ไม่เคยพูดคุยเรื่องการเมือง เพียงแต่รู้จักกันมาเกือบ 10 ปีในฐานะที่จบจากประเทศสหรัฐฯ มาเหมือนกัน
ตนมีสถานะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐ และต้องการเป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือประเทศชาติ เช่นเดียวกับคนไทยในต่างแดน ที่ไม่
ทอดทิ้งกัน
ซึ่งคอนเนคชั่นหลักๆ ของคนไทยในสหรัฐฯมี 2 แห่ง คือที่วัดไทยและร้านอาหารไทย ที่จะให้การช่วยเหลือกันในภาวะยากลำบากมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะกรณีการประสานจัดหาไฟเซอร์ในวิกฤติ
ที่นายรักไทยเปิดใจกับสื่อไทยมายืดยาวนั้น เรามั่นใจว่าเป็น “ไซแห้ง” หรือที่ภาษารุ่นใหม่เรียกว่าประสานงานทิพย์...
ความจริงถ้านายรักไทยเป็นคนใส่ใจติดตามข่าวและตีความภาษาอังกฤษได้แตกฉาน เขาไม่ต้องอ้างว่าเดินทางไปฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ถึงได้รู้ว่าในอเมริกามีวัคซีนเหลือมากมาย
เขาไม่จำเป็นต้องอ้างว่าติดต่อกับเจ้าหน้าที่ถึง 3 มลรัฐจึงรู้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนการที่จะบริจาควัคซีนให้กับประเทศต่างๆ 80 ล้านโดส ถ้าเป็นคนอ่านข่าวภาษาอังกฤษแตกฉาน เขาไม่ต้องอ้างว่าได้ประสานงานติดต่อกับอดีตรมว.กระทรวงสาธารณสุขอเมริกา และ ไม่ต้องอ้างว่าได้ประสานงานกับ สส.และ อดีต สส.
รีพับลิกัน เพราะที่ฝอยมาทั้งหมดนั้นเป็นการเพ้อเจ้อเพ้อฝันหรือประสานงานทิพย์
เพราะถ้านายรักไทยได้ติดตามข่าวต่างประเทศและตีความภาษาอังกฤษได้แตกฉานจะรู้ว่า เมื่อวันที่2 มิ.ย รมช.ต่างประเทศสหรัฐฯเดินทางมาเยือนไทย และได้พบปะหารือกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศไทยหลายเรื่อง ในจำนวนนั้นได้พูดกันถึงเรื่องบริจาควัคซีนให้ประเทศไทยด้วย แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าบริจาคให้กี่โดส
ต่อมาในวันที่ 4 มิ.ย. สถานทูตสหัฐฯประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ว่าสหรัฐฯมีโครงการจะบริจาควัคซีน 80 ล้านโดสให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจนทั่วโลก จำนวน 80 ล้านโดสในจำนวน 80 ล้านโดส จะมอบให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชีย 25 ล้านโดส (เอเชียมีทั้งหมด 47 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยได้ส่วนแบ่งใน 25 ล้านโดสนั้น) ประเทศไทยจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ยังไม่รู้ได้
และวันต่อมาประธานาธิบดีโจ ไบเดนเดินทางไปร่วมประชุมจี7 ในสหราชอาณาจักรวันนั้นทำเนียบข่าวออกแถลงการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะบริจาควัคซีนให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก100 ล้านโดส เห็นไหมเพิ่มจากแถลงการณ์ที่ออกจากสถานทูตอเมริกาในประเทศไป 20 ล้านโดสในชั่วข้ามคืน
อีกสองวันต่อมานายกรัฐมนตรีอังกฤษนายบอริส จอห์นสัน เพื่อนร่วมรุ่นของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาบอกผู้สื่อข่าวว่า ที่ประชุมจี7 มีมติจะบริจาควัคซีนป้องกันโควิดให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก 1,000 ล้านโดสในจำนวนนี้ 500 ล้าน บริจาคโดยสหรัฐอเมริกา ส่วนอังกฤษเองยินดีบริจาคให้ 100 ล้านโดส
ถ้านายรักไทยได้ติดตามข่าวเรื่องสหรัฐอเมริกาพูดว่าจะบริจาควัคซีนให้ชาวโลกที่สำคัญหากนายรักไทยตีความภาษาอังกฤษได้แตกฉาน จะรู้ว่าอเมริกาพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย
ออกแถลงในเมืองไทยจะบริจาคให้ทั่วโลก80 ล้านโดส พอไปถึงอังกฤษบอกว่าบริจาค 100ล้านโดส อยู่ในอังกฤษสองวันบอกว่าบริจาค 500 ล้านโดสแต่สามอาทิตย์ต่อมาที่เคยพูดว่าจะบริจาคให้ทวีปเอเชีย 47 ประเทศ มีประชากรกว่า 5,000 คน25 ล้านโดส วันนี้ลดลงเหลือ 23 ล้านโดส ส่วนประเทศไทยยังไม่มีใครรู้ว่าจะได้วัคซีนจากสหรัฐอเมริกากี่โดส ที่บอกว่า 1.5 ล้านโดสนั้น พอถึงวันส่งมอบจริงไม่รู้จะได้เท่าไหร่
เรายังมีหลายอย่างที่สงสัยถ้านายรักไทยตอบไม่ได้เราจะให้รางวัล 18 มงกุฎ 1.นายรักไทยได้ติดต่อกัน รมต.สาธารณสุขสหรัฐในสมัยไหน เป็นอดีต รมต. สมัยประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน หรือสมัยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น เพราะถ้าเป็น รมต.สาธารณสุขในสองสมัยนั้นยังมาเข้าฝันในไซแห้งหรือไม่ก็เจรจาทิพย์กับเพื่อนนายพิธาได้
2. ได้พบปะหารือกับ สส. รีพับลิกันคนไหนชื่ออะไร วันไหน เดือนไหน
3. คนไทยในอเมริกาและเจ้าหน้าทูตที่ว่าชื่ออะไร
4. นายรักไทยไปฉีดวัคซีนในอเมริกาวันไหนรัฐไหน วัคซีนยี่ห้ออะไร ถ้ายังคำถามเหล่านี้ไม่ได้ต่อไปอย่าดักไซแห้ง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี