ประเด็นที่คอการเมืองไทยบางกลุ่มวิตกกังวลคือ เรื่องบัตรเลือกตั้งสองใบ คือบัตรเลือกตั้งสำหรับสส.เขต และแบบบัญชีรายชื่อ ที่เพิ่งผ่านการลงมติเลือกโดยสมาชิกรัฐสภาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ทว่าเรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติเด็ดขาด หากไม่มีการร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้
แต่ในข้อเท็จจริงที่เราทุกคนต้องไม่ลืมก็คือ ตั้งแต่ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาพรรคการเมืองภายใต้ความเป็นเจ้าของโดย ทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเสมอมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเมื่อประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็ยังคงพบอีกว่าพรรคการเมืองภายใต้อาณัติของทักษิณก็ยังคงชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคที่ได้คะแนนสูงสุดอยู่เช่นเคย ซึ่งนั้นก็หมายความว่าประชาชนจำนวนมากยังคงตั้งใจเลือกพรรคการเมืองของทักษิณ ส่วนมูลเหตุในการตัดสินใจเลือกเป็นเพราะอะไรนั้น ต้องกลับไปพิจารณารายละเอียดกันอีกครั้ง
กลับไปที่ประเด็นบัตรเลือกตั้งสองใบ เรื่องนี้หลายคนวิตกว่าจะทำให้พรรคการเมืองใหญ่โดยเฉพาะเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายอีกครั้ง แล้วเกรงกลัวว่าระบอบทักษิณจะกลับมามีอำนาจเหนือรัฐบาลไทย แต่ขอให้มองเรื่องนี้ด้วยใจเป็นธรรมว่า หากผลการเลือกตั้งได้ออกมาแล้ว โดยไม่มีผู้ใดหรือองค์กรใดสามารถระบุชี้ขาดได้ว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง คนทุกคนก็ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งนั้นโดยดุษณีแม้ในใจส่วนลึกจะต่อต้านก็ตาม แต่ก็คงทำได้เพียงต่อต้านภายในใจเท่านั้น เพราะเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นเช่นใด ก็ต้องยอมรับผลนั้น ยกเว้นจะมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตการเลือกตั้ง
เมื่อพิจารณาปัญหาของการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 คอการเมืองหลายคนคงจำได้ดีว่ามีความโกลาหลปั่นป่วนมิใช่น้อย โดยเฉพาะประเด็นคะแนนสัดส่วนและคะแนนพึงมีสำหรับการคิดคำนวณสส. ที่แต่ละพรรคได้หลายคนต้องจำได้แม่นยำว่า บางพรรคได้สส. หนึ่งคนโดยนับคะแนนพึงมีจำนวน 7 หมื่นคะแนนแต่สำหรับพรรคเล็กๆ กลับคิดคำนวณคะแนนส่วนนี้เพียง 3-4 หมื่นคะแนน
คำถามคือทำไมคิดคำนวณคะแนนแตกต่างกันได้เช่นนี้ (เรื่องนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่สามารถตอบให้ชัดเจนได้เพราะแม้จะพยายามตอบสักเท่าไรก็ยังถูกตั้งคำถามโดยสาธารณชนว่า ทำไมพรรคบางพรรคคิดคะแนน 7 หมื่น แต่ทำไมบางพรรคคิดคะแนนเพียง 3-4 หมื่นต่อจำนวนสส. หนึ่งคน
เมื่อ กกต. ใช้การคิดคำนวณสุดแสนพิสดารเช่นนั้น ก็จึงทำให้พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคไม่ได้สส. แต่กลับกลายเป็นว่าพรรคการเมืองเล็กๆ กลับได้สส. จึงทำให้มีรัฐบาลผสมชนิดหลายสิบพรรคการเมือง ซึ่งหากจะอ้างหลักคะแนนทุกคะแนนที่ประชาชนเลือกต้องไม่ถูกโยนทิ้งน้ำ ก็พอจะรับฟังได้ แต่ทว่าเมื่อไปเจอการคิดคำนวณคะแนนที่ได้ต่อจำนวนสส. ตามแบบกกต. ก็ทำให้คนที่ตามประเด็นการเมืองมาอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานานถึงกับส่ายหัว แล้วบอกตรงกันว่าคิดแบบไหนก็ไม่มีทางคิดได้เหมือน กกต. เพราะการคิดคะแนน 7 หมื่นต่อสส. หนึ่งคนกับคะแนน 3-4 หมื่นต่อสส.หนึ่งคนไม่มีทางเป็นที่ยอมรับได้ ต่อให้กกต.ยืนยันว่าขาวสะอาดสักเพียงใดก็ตาม และมีผู้ถามกกต. ว่าหากคิดว่า 7 หมื่นกับ 3-4 หมื่นไม่ต่างกัน ก็ขอให้กกต. ที่ได้เงินเดือนเดือนละจำนวนมิใช่น้อยใช้หลัก 7 หมื่นบาท เท่ากับ 3-4 หมื่นบาทบ้างก็แล้วกัน
ขอฝากข้อคิดทิ้งท้ายสำหรับวันนี้ว่าหากประชาชนเลือกพรรคใดด้วยความตั้งใจจริงโดยผ่านการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ก็ต้องยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น เพราะเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ยกเว้นว่าจะจับได้ว่าเสียงสวรรค์เต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ์ขายเสียงและเต็มไปด้วยการทุจริต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี