1 พฤศจิกายน 2564 จะเป็นวันเปิดประเทศอีกครั้งหนึ่งทั้งนี้เป็นไปตามคำประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2564 จากคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยมีทั้งประกาศที่เกี่ยวกับ มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และเกี่ยวกับการเปิด 17 จังหวัดนำร่อง ท่องเที่ยวเพื่อตอบรับการเปิดประเทศ รวมทั้งพระราชกำหนดที่ให้ผู้พำนักอาศัย ใน 46 ประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยได้
วัตถุประสงค์ของการออกประกาศดังกล่าว คือการที่จะต้องมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในทุกระดับ หลังจากที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี ได้ทำให้เกิดภาวะการถดถอยและชะลอตัวของเศรษฐกิจ ไม่ใช่เฉพาะในต่างประเทศทั่วโลกเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลด้วย จนเกิดเสียงเรียกร้องจากทุกภาคส่วนให้รัฐบาล เปิดประเทศ เพื่อให้ธุรกิจทุกอย่างกลับคืนมาสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้ที่จะเกิดจากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ก่อนการเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติในการเข้ามาท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยเรานี้มีภูมิประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม ระดับโลกอยู่หลายสถานที่ มีสภาพอากาศที่อำนวยต่อการท่องเที่ยวแทบจะในทุกฤดูกาล มีโรงแรมชั้นนำและที่พักที่หลากหลายซึ่งมีระดับราคาให้เลือกได้ มีอาหารการกินซึ่งถือว่าอร่อยติดอันดับโลก มีค่าใช้จ่ายในระดับที่ยอมรับได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องดึงดูดการท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่ที่สำคัญมากคืออัธยาศัยไมตรีของคนไทย ซึ่งผู้ที่ได้มีโอกาสสัมผัสจะทราบดีถึงความสุภาพ อ่อนโยน อบอุ่นในอัธยาศัยไมตรีของคนไทย โดยเฉพาะรอยยิ้มซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยิ้มสยามมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานแล้ว
เมื่อเทียบรายได้ของไทยในด้านการท่องเที่ยวกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน ก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปี 2019 นั้น พบว่าประเทศไทยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ถึง 6.51 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 40 ล้านคน โดยประเทศที่รองลงมาคือสิงคโปร์ ซึ่งมีรายได้ 2.76 หมื่นล้านดอลลาร์ และประเทศถัดมาคือมาเลเซีย ซึ่งมีรายได้ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ที่ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ถัดจากนั้นก็คืออินโดนีเซียและเวียดนามซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1.8 และ 1.18 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ ซึ่งจะเห็นว่ารายได้ของประเทศไทยนั้นสูงสุดและมากกว่าประเทศสิงคโปร์ที่มีรายได้รองลงมาเกือบ 3 เท่า และสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสเท่านั้น
และเป็นสัดส่วนถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP) แต่เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้น
นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้ รายได้ส่วนนี้ลดลงเกือบหมด จนเกิดผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่ารายได้จากสินค้าส่งออกจะยังคงประคองตัวอยู่ได้และมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเมื่อเกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น ทำให้องค์ประกอบต่างๆ ของการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง ตลอดจนยานพาหนะอื่นๆ และมัคคุเทศน์ได้รับผลกระทบไปทั้งหมด ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อผู้ประกอบธุรกิจด้านนี้เป็นอย่างมาก
จากการที่รัฐบาลได้ทดลองนำร่องการท่องเที่ยวโดยการเปิดพื้นที่บางแห่งเช่นภูเก็ตและสมุย โดยใช้มาตรการควบคุมในลักษณะแซนด์บ็อกซ์ เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมานั้น พบว่าสามารถที่จะควบคุมการระบาดในพื้นที่ทดลองได้ดี ประกอบกับการที่ในปัจจุบันรัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิดเข้ามาได้อย่างเพียงพอ และมีความหลากหลายของชนิดวัคซีน ซึ่งสามารถจะจัดสูตรการฉีดให้สอดคล้องกับสภาพการระบาดของแต่ละพื้นที่และความเสี่ยงของแต่ละกลุ่มประชากรได้ค่อนข้างดี ร่วมกับการระดมฉีดที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว จนเกิดผลลัพธ์ว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวันทั่วประเทศอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 หมื่นราย มีผู้เสียชีวิตไม่เกิน 100 คนต่อวัน และการระบาดในลักษณะของคลัสเตอร์ลดน้อยลงเกือบทั่วประเทศ ยกเว้นในบางจังหวัดทางภาคใต้ ทำให้เชื่อว่าจะควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ในเร็วๆ นี้
ปริมาณวัคซีนที่มีมากเพียงพอรวมทั้งวัคซีนทางเลือกที่บางองค์กรจัดหามานั้น ทำให้จำนวนผู้ฉีดวัคซีนในประเทศไทยขณะนี้ในภาพรวมเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว และเชื่อว่าภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้น่าจะมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสถึง ระดับ 70 เปอร์เซ็นต์ โดยถึงขณะนี้มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนรวมกันแล้วมากกว่า 70 ล้านราย เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ประมาณ 40 ล้านราย เข็มที่ 2 ประมาณ 29 ล้านราย ซึ่งในกลุ่มนี้อีกเพียงแค่ 3-4 สัปดาห์ก็จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ที่ฉีดครบ 2 โดสเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก และยังมีผู้ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นแล้วอีกมากกว่า 2.1 ล้านราย ซึ่งหมายความว่าสภาพการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีนักวิชาการบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าภูมิคุ้มกันหมู่สำหรับโรคโควิด-19 จากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ดีตามทฤษฎีระบาดวิทยาก็ตาม โดยเป็นการประเมินสถานการณ์จากการที่พบว่าในบางประเทศซึ่งมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนใกล้เคียงหรือเกินกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วนั้น ยังมีการระบาดเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากไปดูในรายละเอียดของประเทศเหล่านั้น อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล จะพบว่าล้วนเป็นประเทศที่ประชาชนให้ความสำคัญของการดำรงชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่น้อยลงกว่าที่เคยเป็นอย่างมาก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อ และยังมีประชาชนบางกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนด้วย จึงปรากฏให้เห็นการระบาดกลับคืนมาและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จึงทำให้รัฐบาลเชื่อมั่นในการที่จะเปิดประเทศ ตลอดจนประชาชนชาวไทยได้ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการเข้ารับการฉีดวัคซีนและดูแลตัวเองให้อยู่ในแนวทางของชีวิตวิถีใหม่ อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างมากพอสมควร จนกระทั่งรัฐบาลต้องมีโครงการช่วยเหลือประชาชนหลายโครงการ ซึ่งก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจที่จะให้มีการเปิดประเทศเพื่อดึงรายได้จำนวนมหาศาลจากการท่องเที่ยวกลับคืนมา โดยการออกประกาศมาตรการดังที่กล่าวไปแล้วเพื่อใช้ในการเปิดประเทศ
ในเบื้องต้น ได้มีการประกาศรายชื่อของประเทศที่จะอนุญาตให้ผู้พำนักอาศัยในประเทศนั้นๆ เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยได้รวมจำนวน 46 ประเทศ โดยประกอบไปด้วยประเทศที่เคยมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาสู่ประเทศไทย ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ประเทศทางกลุ่มสแกนดิเนเวียน เช่น สวีเดน เดนมาร์ก กลุ่มประเทศอาหรับเช่น กาตาร์ บาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย ยูเออี ส่วนประเทศแถบเอเชียได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ทั้งนี้ได้มีการกำหนดรูปแบบในการเข้าประเทศไว้เป็น 3 รูปแบบ โดยต้องเป็นการเดินทางเข้ามาทางอากาศเท่านั้น คือ ประเภทที่ไม่ต้องกักตัว ประเภทโครงการแซนด์บ็อกซ์ และประเภทการกักตัวทางเลือก
ในส่วนของประเภทที่ไม่ต้องกักตัว ผู้ที่เดินทางเข้ามาต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสอย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทาง โดยเป็นผู้ที่มาจาก 14 ประเทศที่ได้รับอนุญาต และได้รับการตรวจ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เมื่อมาถึงประเทศไทยต้องเข้าพักในโรงแรมและมีการตรวจ RT-PCR อีกครั้งหนึ่ง แล้วกักตัว 1 คืนเพื่อรอผลตรวจ หากไม่มีการติดเชื้อก็สามารถจะไปในทุกพื้นที่ของประเทศที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวได้ โดยผู้เดินทางเข้าต้องมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนประเภทแซนด์บ็อกซ์ ใช้มาตรการคล้ายกับประเภทแรก โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอื่นๆ ต้องกักตัวในโรงแรมพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ 7 วัน มีการตรวจ RT-PCR ซ้ำในวันที่ 6-7 หากผลไม่พบเชื้อ ก็สามารถไปเที่ยวในทุกพื้นที่ที่กำหนดได้
ส่วนประเภทสุดท้ายคือกักตัวทางเลือก ใช้กับกลุ่มที่ฉีดวัคซีนไม่ครบหรือยังไม่ได้ฉีดก่อนที่จะเข้ามาประเทศไทย จะมีการตรวจ RT-PCR ในวันแรกที่มาถึง และกักตัวในโรงแรมอีก 10 วัน โดยตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ในวันที่ 8-9 หากไม่พบการติดเชื้อเชื้อจึงสามารถจะเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ที่กำหนดไว้ได้
ทั้งนี้ในส่วนของพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวได้นั้นประกอบไปด้วยพื้นที่ใน 17 จังหวัด ได้แก่กรุงเทพฯ กระบี่ พังงา ภูเก็ต ซึ่ง 4 จังหวัดนี้ ไปได้ในทุกพื้นที่ ส่วนอีก 13 จังหวัดที่เหลือคือ ชลบุรี เชียงใหม่ ตราด บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ระนอง ระยอง เลย สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี หนองคาย และอุดรธานี จะไปได้เฉพาะบางพื้นที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น
เชื่อว่ามาตรการทั้ง 3 เรื่องที่ถูกกำหนดไว้นั้น จะทำให้การควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดจากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเกิดขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องอาศัยการกำกับติดตามและตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายปฏิบัติตนตามแนวทางที่กำหนดไว้ และผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจด้านนี้ต้องให้ความร่วมมือด้วยอย่างเต็มที่ อย่าหวังแต่เพียงการสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นเท่านั้น เพราะหากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ขึ้น ประเทศไทยก็อาจจะต้องกลับเข้าสู่วงจรเก่าของการดำเนินชีวิตซึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนด เพื่อการควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่ขึ้นมาอีก จนเป็นผลเสียอย่างที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้งหนึ่งด้วย
การเปิดประเทศในรอบนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วโรคโควิด-19 จะเป็นโรคประจำถิ่น คือเป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็นปกติ และประชาชนทุกคนมีโอกาสจะติดเชื้อ ซึ่งเชื่อว่าการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่และการที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับวัคซีนแล้วนั้นจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดและอาการป่วยที่รุนแรง แต่ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ความเข้มแข็งของหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบติดตาม และป้องกันการระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก รวมทั้งภาครัฐเองที่ต้องเตรียมการจัดหาวัคซีนที่จะฉีดให้กับประชาชนอย่างเพียงพอ ซึ่งคงจะต้องดำเนินการต่อไปอีกเป็นระยะเวลายาวนาน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี