สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ดูเหมือนจะ เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 8,000 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตที่ประมาณ 60-70 ราย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมีมากขึ้นเกือบจะถึง 70 เปอร์ซ็นต์ ซึ่งตามทฤษฎีของระบาดวิทยาเชื่อว่าจะทำใหัเกิดสภาพภูมิคุ้มกันหมู่และการระบาดจะเริ่มลดน้อยลง รวมทั้งความรุนแรงของอาการของโรคจะลดน้อยลงด้วย
มีข้อมูลจากบางประเทศบ่งชี้ว่า การระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อสายพันธุ์เดลต้านั้นจะขึ้นสู่ระดับการระบาดสูงสุดแล้วลดลงที่ประมาณ 4 เดือน เช่น ในประเทศอินเดีย ประเทศอังกฤษ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมาตรการที่จะต้องใช้ในการดำรงชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ยังจะต้องเป็นไปอย่างเข้มแข็ง หากไม่สามารถปฏิบัติอย่างนั้นได้ การระบาดก็จะกลับคืนมาได้อีก เหมือนอย่างที่เกิดในประเทศอังกฤษซึ่งถึงแม้จะเป็นประเทศที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ทั้งวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์และวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ
แต่พบว่าหลังจากที่มีการละเลยเรื่องการดำรงชีวิตตามแนววิถีใหม่ ดังที่เห็นได้จากการเปิดให้มีการแข่งขันกีฬายอดนิยมของประเทศนี้คือฟุตบอลลีก ซึ่งเชื่อว่าหลายท่านคงจะเห็นจากภาพข่าวทางโทรทัศน์ว่า ผู้เข้าร่วมชมการแข่งขันไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย รวมทั้งไม่ได้รักษาระยะห่างตามที่ควรจะเป็น จนทำให้ขณะนี้มีการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้น โดยมีผู้ป่วยใหม่วันละ
3-4 หมื่นราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวนพอสมควร
เมื่อมาดูจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนในประเทศไทยก็จะพบว่า ขณะนี้มีประชากรได้รับการฉีดแล้วมากกว่า75 ล้านโดส เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ประมาณ 42 ล้านโดสและเข็มที่ 2 ประมาณ 31 ล้านโดส รวมทั้งยังมีผู้ได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 แล้วอีกประมาณ 2.4 ล้านโดส ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ได้รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึง 17 ปีด้วย โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีดให้ได้อย่างน้อย 4 ล้านคน จากจำนวนเยาวชนทั้งหมดประมาณ 4.5 ล้านคน ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ชนิดของวัคซีนที่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยเริ่มต้นจากวัคซีนชนิดเชื้อตายซิโนแวค และตามมาด้วยวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์แอสตราเซเนกา และต่อมาก็มีวัคซีนของซิโนฟาร์ม ซึ่งเป็นเชื้อตายเช่นเดียวกันเสริมเข้ามาจากการจัดหาของ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกับการได้รับวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ
ไฟเซอร์จากการบริจาคของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากวัคซีนทั้ง 3 ชนิด เข้ามาในประเทศไทยแล้ว ได้มีบางสถาบันทดลองการฉีดไขว้ชนิดของวัคซีน ทำให้พบว่า การฉีดไขว้นั้นสามารถสร้างภูมิต้านทานเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมากและรวดเร็ว จึงมีสูตรของการฉีดวัคซีนไขว้ออกมาหลายรูปแบบ เช่น เข็มที่ 1 เป็นซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์
ฉีดไขว้ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา หรือหากฉีดวัคซีนซิโนแวค/ซิโนฟาร์มฟาร์มแล้ว 2 เข็ม ห่างกัน 3-4 สัปดาห์
หลังจากนั้นอีก 4 สัปดาห์ฉีดด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาหรือวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งสามารถสร้างภูมิต้านทานได้สูงมากและรวดเร็วเช่นเดียวกัน อีกสูตรหนึ่งที่ใช้อยู่คือเข็มที่ 1 เป็นแอสตราเซเนกา หลังจากนั้น 4 สัปดาห์ขึ้นไป ฉีดเข็มที่ 2 เป็นไฟเซอร์ ซึ่งสร้างภูมิต้านทานได้ดีมาก และใช้เป็นสูตรหลักในปัจจุบันนี้ ร่วมกับอีกสูตรหนึ่ง คือการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 โดส ห่างกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานในประเทศสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศทั่วโลก
กระแสความนิยมการใช้วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอดูเหมือนจะมีมากขึ้นตามลำดับ จากประสิทธิภาพที่สามารถสร้างภูมิต้านทานได้มากและรวดเร็ว ซึ่งวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอในปัจจุบันที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายคือวัคซีนไฟเซอร์และวัคซีนโมเดอร์นา ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้ประเทศผู้พัฒนาและผลิตคือประเทศสหรัฐอเมริกา
ในส่วนของประเทศไทยรัฐบาลได้สั่งวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้ว 30 ล้านโดส
ส่วนวัคซีนโมเดอร์นา สมาคมโรงพยาบาลเอกชนซึ่งปัจจุบันมี ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์เป็นนายกสมาคมฯ ได้ร่วมกับองค์การเภสัชกรรมโดยความเห็นชอบของสมาชิกสมาคมฯได้สั่งซื้อวัคซีนโมเดอร์นาไปแล้วรวมจำนวน ประมาณ 6.8 ล้านโดสโดยสั่งเป็นลอตใหญ่ 2 ลอต ซึ่งขณะนี้มีประชาชนที่สนใจจะได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้ และยอมเสียเงินจองซื้อวัคซีนตัวนี้เองแล้วมากกว่า 5 ล้านโดส ซึ่งสมาคมฯตกลงให้ตั้งราคาขายรวมทั้งการทำประกันอาการไม่พึงประสงค์ที่โดสละ 1,650 บาท ซึ่งเดิมคาดว่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยประมาณกลางเดือนตุลาคม แต่ก็ได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากความต้องการวัคซีนตัวนี้จากทั่วโลกมีสูงมาก จึงต้องมีการจัดสรรไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย ทำให้เกิดกระแสความไม่พึงพอใจของประชาชนผู้สั่งจองวัคซีนตัวนี้บางส่วน
บัดนี้ ได้มีข่าวดีซึ่งได้รับการยืนยันจากองค์การเภสัชกรรมแน่นอนแล้วว่า วัคซีนโมเดอร์นาลอตแรก จำนวน 5.6 แสนโดส จะมาถึงประเทศไทยในเช้าวันที่1 พฤศจิกายนนี้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เรียบร้อยแล้ว ก็จะถูกทยอยส่งให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งได้สั่งซื้อ ตามจำนวนการจองที่เกิดขึ้น และน่าจะเริ่มต้นฉีดให้กับผู้สั่งจองตั้งแต่วันที่ 8 หรือ 9 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ตามลำดับการจองก่อนหลัง ส่วนวัคซีนจำนวนที่เหลือจะทยอยเข้าสู่ประเทศไทยโดยแบ่งเป็นลอตๆ อีกหลายลอต โดยคาดว่าจะเข้ามาถึงประเทศไทยทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม 2565
วันนี้จึงจะขอเล่าเรื่องของวัคซีนโมเดอร์นาให้ทราบพอสังเขป
โมเดอร์นา เป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ พัฒนาขึ้นโดยบริษัท Moderna TX, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีนตัวนี้ได้รับการรับรองให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินโดยองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2563 และคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นวัคซีนทางเลือกให้ภาคเอกชนนำเข้ามาใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม2564 วัคซีนตัวนี้มีส่วนประกอบ 2 ส่วน ส่วนแรกจะใช้สารพันธุกรรมมีโมเลกุลที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอที่มีรหัสแม่แบบที่คล้ายหนามของเชื้อ Sar-Cov-2 ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 โดยหนามนี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่เชื้อไวรัสจะใช้จับที่เซลล์ในร่างกาย ส่งผลให้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ส่วนที่ 2 ของวัคซีนคือไขมันอนุภาคนาโน ที่ใช้ห่อหุ้มเอ็มอาร์เอ็นเอ เพื่อป้องกันการย่อยสลายจากเอนไซม์ไรโบนิวคลีเอสซึ่งมีอยู่ทั่วร่างกาย
หลังจากฉีดวัคซีนนี้เข้าร่างกายแล้ว เซลล์ร่างกายในบริเวณที่ฉีดจะกลืนกินไขมันอนุภาคนาโนที่มีเอ็มอาร์เอ็นเอเข้าไป ทำให้เซลล์บริเวณนั้นผลิตสารโปรตีน คล้ายหนามของเชื้อไวรัสขึ้น ซึ่งโปรตีนนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาต่อต้านหนามของเชื้อไวรัสดังกล่าว ป้องกันไม่ให้เชื้อสามารถก่อโรคได้
วัคซีนชนิดนี้ 1 โดส จะมีปริมาณ 100 ไมโครกรัม อยู่ในรูปสารละลาย 0.5 มิลลิลิตร สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 มาก่อนนั้น จะต้องฉีดวัคซีนชนิดนี้2 โดสห่างกัน 4 สัปดาห์ หลังจากฉีดประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป ภูมิต้านทานในร่างกายจะถูกสร้างขึ้น โดยจากการศึกษาในอาสาสมัครประมาณ 30,000 ราย ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจริงและวัคซีนหลอกจำนวนใกล้เคียงกันพบว่า วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดโรคโควิด-19 ในประชากรทั่วไปได้ 94.1 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการติดโรคในผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปได้ 80.64% และลดความรุนแรงของอาการและโอกาสเสียชีวิตได้ 100% และขณะนี้วัคซีนตัวนี้ได้รับการอนุญาตให้ฉีดในเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 ถึง 17 ปีได้แล้ว และฉีดในสตรีมีครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไปได้ด้วย
อาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนชนิดนี้มีประมาณ 0.03% ของประชากร ที่ได้รับการฉีด ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน โดยบริเวณที่ฉีดอาจจะมีอาการปวด บวมแดงเกิดขึ้นได้ ส่วนอาการที่เกิดกับร่างกายทั่วไป คืออาจมีอาการหนาวสั่นหรือเป็นไข้ มีอาการเมื่อย เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หรือคลื่นไส้อาเจียน
ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง และทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความวิตกกังวล คือการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ ข้อมูลที่มีอยู่ขณะนี้คือประมาณ 12.6 รายต่อ 1 ล้านโดส หรือเพียงแค่ 0.00126 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อยล้าและเจ็บหน้าอกชนิดไม่รุนแรง และสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลา 2-3 วันโดยอาการดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังฉีด และมักจะเกิดหลังการฉีดเข็มที่ 2
เนื่องจากวัคซีนโมเดอร์นาที่สั่งเข้ามาในประเทศไทยมาล่าช้ากว่าปกติ ทำให้ประชาชนที่จองวัคซีนตัวนี้ไว้จำนวนหนึ่งมีคำถามเกิดขึ้น ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย หรือผู้ที่รอวัคซีนตัวนี้ไม่ได้ และได้ไปรับการฉีดวัคซีนชนิดอื่นมาก่อนแล้ว ว่าจะยังคงมารับการฉีดวัคซีนนี้ได้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งทำให้แต่ละโรงพยาบาลได้กำหนดแนวทางอันเป็นลักษณะของข้อเสนอแนะในการฉีดวัคซีนตัวนี้ ในภาพรวมไว้ดังนี้คือ
ถ้ายังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนตัวใดเลย ให้ฉีดโมเดอร์นา 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
ถ้าได้รับการฉีดเข็มแรกเป็นซิโนแวค/ซิโนฟาร์มแล้ว 1 เดือน ให้ฉีดโมเดอร์นา 2 เข็มห่างกัน 1 เดือน
ถ้าได้รับการฉีดซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม ครบ 2 เข็มหลังจากนั้น 3-6 เดือน ให้ฉีดโมเดอร์นาเพิ่ม 1 เข็ม แต่ถ้าเกิน 6 เดือน แล้วให้ฉีดโมเดอร์นาเพิ่ม 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
ถ้าได้รับการฉีดซิโนแวค/ซิโนฟาร์มแล้ว 3 เข็มหลังจากนั้น 3-6 เดือนให้ฉีดโมเดอร์นาอีก 1 เข็ม
ถ้าได้รับการฉีดเข็มแรกเป็นซิโนแวค/ซิโนฟาร์มและเข็มที่ 2 เป็นแอสตราเซเนกา หลังจากนั้น 3-6 เดือนให้ฉีดโมเดอร์นาอีก 1 เข็ม
ถ้าได้รับการฉีด 2 เข็มแรกเป็นซิโนแวค/ซิโนฟาร์มและเข็มที่ 3 เป็นแอสตราเซเนกา หลังจากนั้น 3-6 เดือนให้ฉีดโมเดอร์นาอีก 1 เข็ม
ถ้าหากได้รับการฉีดแอสตราเซเนกาแล้ว 1 เข็ม หลังจากนั้น 1-3 เดือนให้ฉีดโมเดอร์นาเพิ่ม 1 เข็ม
และ ถ้าได้รับการฉีดแอสตาเซเนกาแล้ว 2 เข็มหลังจากนั้น 6 เดือน ให้ฉีดโมเดอร์นาเพิ่ม 1 เข็ม
ส่วนผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคโควิด-19 และหายดีแล้วแนะนำว่า ให้รับการฉีดโมเดอร์นา 1 เข็ม หลังจากวันที่เริ่มตรวจพบว่าป่วยจริง ในระยะเวลา 1 ถึง 3 เดือน
ขอย้ำว่าแนวทางทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำแนะนำ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการฉีดวัคซีนโมเดอร์นานี้ กรณีที่มีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์ก่อนฉีด
ส่วนการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้นนั้น มีข้อมูลจากประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ว่า ให้ฉีดวัคซีนนี้
โดยอาจใช้เพียงครึ่งโดส ก็จะทำให้เกิดการกระตุ้นให้มีการสร้างภูมิต้านทานได้สูงพอเพียง
วัคซีนทางเลือก เป็นตัวแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการจัดหาวัคซีน เพื่อฉีดให้กับประชาชน แต่เมื่อประชาชนต้องการเลือกวัคซีนโดยยอมเป็นผู้รับภาระเองการได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพสูงจึงเป็นเรื่องที่ดี ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรจะทบทวนว่า ในอนาคต หากยังต้องรับภาระในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนก็ควรจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้รับวัคซีนที่ดีอย่างเท่าเทียมกันด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี