จำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ ในประเทศไทยที่ลดลงเหลือประมาณ 6,000 รายเศษต่อวัน และผู้เสียชีวิตที่เริ่มต่ำกว่าระดับ 50 รายนั้น น่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าการระบาดของโรคนี้ในประเทศไทยได้ลดลงมาถึงระดับที่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจมากขึ้น ในการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ที่สำคัญให้กับประเทศ ธุรกิจ และประชาชนที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลจากการที่ประชาชนชาวไทยได้ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง ในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ทั้งในเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การล้างมือ รวมทั้งการตรวจทดสอบตัวเองกรณีที่สงสัยว่าอาจจะมีการติดเชื้อโดยใช้ชุดตรวจ ATK อีกทั้งบริษัทห้างร้านขนาดใหญ่ทั้งหลายก็ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการตรวจคัดกรองพนักงานก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ทุกสัปดาห์โดยใช้ชุดตรวจดังกล่าว
ส่วนอีกสองเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่คู่กันคือจำนวนวัคซีนซึ่งรัฐบาลจัดหามาได้อย่างเพียงพอในขณะนี้และที่ได้รับบริจาคบางส่วน กับความสามารถในการกระจาย และการฉีดวัคซีนในแต่ละวันของทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีการตั้งเป้าของแต่ละจังหวัดไว้อย่างชัดเจน ทำให้จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเคยสูงขึ้นไปแตะระดับ 1 ล้านรายต่อวัน แม้ปัจจุบันจะเริ่มลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5-6 แสนราย แต่ก็ทำให้ จำนวนยอดการฉีดของวัคซีนทั้งประเทศในขณะนี้เกิดขึ้นแล้วเกือบ 90 ล้านโดสโดยเป็นการฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว มากกว่า 46 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 40 ล้านโดส และเข็มที่ 3 มากกว่า 3 ล้านโดส
ฉะนั้น การที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ว่าภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดส จึงเป็นเป้าหมายที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมาก รวมทั้งเป้าที่ตั้งไว้ว่าประชากรมากกว่า 70% จะได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสภายในสิ้นปีนี้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งย่อมเกิดผลดีต่อประเทศไทยอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในวงกว้างอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการอย่างมาก เพราะไม่ใช่เฉพาะแค่ความปลอดภัยในชีวิตของชาวไทยเท่านั้น แต่จะเป็นโอกาสสำคัญในการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย แทนที่จะมีข้อจำกัดอยู่ที่14 จังหวัดตามที่ได้กำหนดไว้เดิมเท่านั้น
หากนำตัวเลขของการระบาดทั่วโลกขณะนี้มาวิเคราะห์ จะพบว่ามีข้อมูลที่ทำให้เห็นถึงการจัดการที่ดีได้ในหลายประเทศ และก็มีข้อน่าคิดในบางประเทศ ลองมาดูประเทศจีนซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน เป็นประเทศแรกที่มีการเกิดของโรคนี้และทำให้เกิดการระบาดที่แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ข้อมูลตัวเลขของวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ พบว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพียง 45 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มหรือซิโนแวคเป็นหลักไปแล้วรวมกันไม่น้อยกว่า 2,400 ล้านโดส ประเทศอินเดียซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน มีผู้ป่วยรายใหม่ 5,883 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วประมาณ 1,200 ล้านโดสใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นหลัก
เมื่อมาดูประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรปบางประเทศ ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประชากรประมาณ 332 ล้านคน และได้รับการฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเกือบทั้งหมดไปแล้วประมาณ 445 ล้านโดส มีผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 1.12 แสนราย มีผู้เสียชีวิต 1,332 ราย สหราชอาณาจักรซึ่งมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับประเทศไทย มีผู้ป่วยรายใหม่ 4.4 หมื่นราย และเสียชีวิต157 ราย โดยวัคซีนที่ใช้ฉีดคือแอสตราเซเนกาและเอ็มอาร์เอ็นเอและมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 110 ล้านโดส โดยทั้งสองประเทศที่ถูกกล่าวถึงนี้มีประชาชนจำนวนมากพอสมควร ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนและดำเนินชีวิตในรูปแบบเกือบจะเป็นปกติ เข้าชมการแข่งขันกีฬาโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย
จึงเห็นได้ว่า ชนิดของวัคซีนนั้นอาจจะมีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคไม่ได้มากนัก แต่น่าจะมีส่วนสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิต ในประเทศจีนและอินเดียซึ่งไม่มีผู้เสียชีวิตในวันดังกล่าวเลย น่าจะเป็นผลมาจากการที่มีการฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวนมาก และเกิดสภาพภูมิคุ้มกันหมู่แล้วพอสมควร ในประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร การใช้วัคซีนที่พูดกันว่ามีประสิทธิภาพดีรวมทั้งมีผู้ที่ได้รับการฉีดไปมากแล้วพอสมควร หากไม่มีความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ก็จะยังมีการระบาดเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากพอสมควรอยู่ตลอดเวลา
เมื่อการควบคุมการระบาดในประเทศไทยของเราเกิดขึ้นได้อย่างดีแล้วในระดับหนึ่ง สิ่งที่ภาครัฐจะต้องดำเนินการต่อไปคือจะทำอย่างไรให้สามารถรักษาชีวิต ของผู้ที่ติดเชื้อและมีอาการไว้ได้ ถึงแม้ว่าวัคซีนจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญ การใช้ยาที่ใช้รักษาอาการก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ยาหลักที่ใช้อยู่ในประเทศไทยขณะนี้คือยาที่พวกเราคุ้นเคยชื่อกันดีแล้วคือยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ ซึ่งให้ผลการรักษาในระดับหนึ่ง ส่วนในต่างประเทศมีประเทศที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษาโรคโควิด-19 ไม่มากนัก และขณะก็นี้ได้มีการพัฒนายาใหม่ๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคนี้ในหลายประเทศ ยาที่กำลังถูกพูดถึงมากในขณะนี้มีอยู่ 2 ตัว คือ โมลนูพิราเวียร์(Molnupiravir) และแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ซึ่งยาทั้ง 2 ตัว ถูกพัฒนาและผลิตขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
โมลนูพิราเวียร์ เป็นยาซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทริดจ์แบค ไบโอเทราพิวติกส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับบริษัทเมอร์ค ประเทศเยอรมนี โดยยาตัวนี้จะทำให้รูปแบบพันธุ์กรรมของเชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถจะขยายตัวเพิ่มปริมาณของเชื้อได้ หลังจากมีการนำมา
ทดลองในการวิจัยระยะที่ 2-3 พบว่ายานี้สามารถป้องกันการติดเชื้อ การเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้มากกว่า 50% การรักษาผู้ป่วยด้วยยาโมลนูพิราเวียร์นี้ จะให้ผู้ป่วยทานยา 5 วัน เรียกว่า 1 คอร์ส เป็นเงินประมาณ 700 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 23,000 บาท ขณะนี้ยาตัวนี้ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในสภาวะฉุกเฉินในสหราชอาณาจักรแล้วเป็นประเทศแรก
แพกซ์โลวิด เป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไฟเซอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยยาตัวนี้จะไปต้านการผลิตเอนไซม์โปรตีเอส ซึ่งไวรัสนี้ต้องใช้ในการแบ่งตัว จึงทำให้เชื้อแบ่งตัวไม่ได้อีกต่อไป เมื่อมีการนำมาใช้ทดลองในมนุษย์ระยะที่ 2-3 นั้น พบว่าสามารถลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ถึง 89 เปอร์เซ็นต์ การใช้ยาตัวนี้ในการรักษา ต้องให้ผู้ป่วยทานยาเป็นระยะเวลา 5 วัน ถือว่าเป็น 1 คอร์ส ซึ่งจะเป็นค่ายาประมาณ 23,000 บาทเช่นกัน มีข้อแม้ว่ายาตัวนี้จะต้องใช้ร่วมกับยารักษาโรคไวรัสอีกต้วหนึ่งคือยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องมานานแล้ว ขณะนี้ยาตัวนี้
อยู่ระหว่างการขออนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อจะใช้ในสภาวะฉุกเฉิน
หากจะเทียบราคายาทั้ง 2 ตัวนี้กับยาที่ใชัรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ในปัจจุบัน คือยาฟาวิพิราเวียร์ ก็จะพบว่ายาทั้ง 2 ตัวนี้มีราคาที่สูงกว่า โดยราคายาที่องค์การเภสัชกรรมเคยสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่นในระยะต้นๆ นั้น อยู่ที่ประมาณคอร์สละเกือบ 8,000 บาท ซึ่งหมายความว่าหากรัฐบาลจะสั่งยานี้เข้ามาใช้นั้น ก็ต้องใช้เงินมากกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัวต่อยา 1 คอร์ส แต่เนื่องจากขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาตัวนี้ได้เอง ทำให้ราคาถูกลงอีกมาก การต้องซื้อยาดังกล่าวมาใช้จึงต้องสิ้นเปลืองงบประมาณของประเทศไม่น้อย
ขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้มีการสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ตามคำขอของกระทรวงสาธารณสุขแล้วจำนวน 50,000 คอร์ส และหากต้องซื้อในราคา 23,000 บาทต่อคอร์ส ก็หมายความว่าจะต้องใช้งบประมาณในการจัดซื้อเป็นเงินถึง 1,100 ล้านบาท ซึ่งถึงแม้ว่าอาจจะช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยหนักจำนวนหนึ่งได้ แต่ก็เป็นภาระงบประมาณมากพอสมควร จึงต้องกำหนดแนวทางใช้ให้ช้ดเจน
จากการที่ขณะนี้ธนาคารโลกได้จัดระดับประเทศไทยให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง (middle-high income) จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าบริษัทเมอร์คซึ่งเป็นผู้ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ และได้อนุญาตให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกประมาณ 105 ประเทศ ได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวของบริษัท ให้เป็นผู้ที่ได้รับสูตรการผลิตยาตัวนี้ได้เองในโรงงานของประเทศนั้นๆ ที่มีศักยภาพเพียงพอ ทั้งนี้จะอนุญาตเฉพาะประเทศที่มีรายได้ต่ำหรือปานกลางเท่านั้น ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับสิทธิบัตรนี้
การได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างมากเนื่องจากทำให้ประเทศนั้นๆ สามารถผลิตยาในราคาถูก จากเดิมซึ่งกำหนดราคาไว้ที่คอร์สละ 700 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 23,000 บาทนั้น จะทำให้สามารถผลิตได้ในราคาเพียงคอร์สละ 20 ดอลลาร์ หรือประมาณ 650 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าที่จะต้องจัดซื้ออยู่ในขณะนี้เกือบ 35 เท่า และหากต้องซื้อเป็นจำนวนมากก็ต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล มีประเทศในแถบเอเชียได้รับสิทธิบัตร 6 ประเทศคือ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยบริษัทในประเทศเหล่านี้จะผลิตยาเพื่อใช้ภายในประเทศเท่านั้น
และเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น บริษัทไฟเซอร์ ก็ได้ประกาศอนุญาตให้ประเทศต่างๆ จำนวน 95 ประเทศซึ่งเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อยได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวในการผลิตยาแพกซ์โลวิดด้วยเช่นเดียวกัน โดยประเทศไทยไม่ได้รับสิทธิ์นี้
เมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องสั่งซื้อยาชนิดรับประทานที่มีประสิทธิภาพด้วยราคาที่แพง จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลและประชาชนทุกภาคส่วนต้องร่วมมือร่วมใจในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และไม่มีอาการป่วยที่รุนแรงหรือเสียชีวิต นอกเหนือจากการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ จึงขอเชิญชวนประชาชนอีกประมาณ 10 ล้านคนที่อยู่ในเกณฑ์ต้องฉีดวัคซีน รีบเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประชาชนที่ดี ซึ่งไม่ใช่เป็นผลดีต่อตัวท่านเท่านั้น แต่จะทำให้ประเทศชาติกลับมาดีด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิต
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี