วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์ /

วันจันทร์ ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2564, 02.00 น.
มาฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นกันเถอะ

ดูทั้งหมด

  •  

จำนวนตัวเลขของประชากรชาวไทยที่ได้รับการฉีดวัคซีน โควิด-19 จนถึงวันนี้มีจำนวนรวมแล้วมากกว่า 99 ล้านโดส ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ว่า ภายในสิ้นปีนี้จะต้องมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดส โดยเป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้วมากกว่า 50 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 44 ล้านโดส และผู้ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 3 และเข็ม Booster หรือเข็มกระตุ้นอีกเกือบ 5 ล้านโดส แต่ก็ยังมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่ควรจะได้รับการฉีดยังไม่ได้รับการฉีด หรือปฏิเสธที่จะเข้ารับการฉีดอีกมากกว่า 5 ล้านราย

เมื่อหันกลับไปมองตัวเลขของผู้ที่ติดเชื้อหรือป่วยเป็นโรคนี้ในประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งในภาพรวมมีผู้ป่วยแล้วทั้งหมดรวมกันมากกว่า 2.18 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 2.13 หมื่นราย หรือประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ยังมีผู้ที่มีอาการหนัก ที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลอีกประมาณ 950 ราย และผู้ที่อาการหนักมาก ต้องรักษาตัวในห้องผู้ป่วยวิกฤตและใช้เครื่องช่วยหายใจอีกประมาณ 250 ราย ซึ่งกลุ่มสุดท้ายนี้มีความเสี่ยงสูงที่แพทย์อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไว้ได้ แต่เมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับจำนวนผู้ที่ติดเชื้อใหม่รายวัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วันละประมาณ 3,000 ราย โดยบางวันลดลงไปอยู่ที่ระดับ 2,000 รายเศษ และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 30 คนต่อวัน ก็จะเห็นว่าการระบาดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย น่าจะอยู่ในสภาวะที่สามารถจะควบคุมโรคนี้ได้แล้ว ทั้งนี้ น่าจะเป็นผลมาจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมีจำนวนมากจนถึงระดับที่ทำให้เกิด ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่และผู้ที่ได้รับการฉีดแต่ละคนก็มีภูมิต้านทาน ซึ่งจะลดอาการ หรือไม่แสดงอาการเมื่อมีการติดเชื้อก็ได้


เมื่อโรคโควิด-19 เริ่มเปลี่ยนแปลงสภาพ จากการระบาดใหญ่ทั่วโลกมาเป็นการระบาดที่เรียกว่าโรคประจำถิ่น ทำให้รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ซึ่งมีผลให้ การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับมาอยู่ในสภาพใกล้เคียงปกติ ซึ่งย่อมส่งผลดี ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะการสร้างรายได้ทั้งจากภายในประเทศเองหรือจากการส่งออกสินค้าต่างๆนั้น ย่อมมีผลดีกลับมาถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างแน่นอน

แต่ถึงแม้ว่าโรคนี้จะเปลี่ยนเป็นโรคประจำถิ่น ก็ยังจะมีการระบาดเป็นกลุ่มๆ หรือในพื้นที่ต่างๆ ภายในประเทศได้ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี โดยที่ผ่านมานั้นได้มีการรณรงค์ให้ความรู้และจัดหาวัคซีนหลากหลายชนิดมาฉีดให้กับประชาชน และยังคงคาดการณ์ไปภายหน้าด้วยว่า การที่จะไม่ให้การระบาดเกิดขึ้นมาอีกนั้น นอกจากการรณรงค์ให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ คือเรื่องของการใส่หน้ากากอนามัย การอยู่ห่างจากผู้คนที่ไม่รู้จักและการล้างมือแล้ว การให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มเติมให้มากที่สุด รวมทั้งผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย จึงทำให้รัฐบาลได้วางแผนในการจัดหาวัคซีนสำหรับการฉีดเป็นเข็มกระตุ้นให้กับประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนหนึ่งได้เริ่มรับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว และจะระดมฉีดให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2565 

โดยในขณะนี้ได้เตรียมจัดงบประมาณที่จะสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติมเป็นจำนวนอีกไม่น้อยกว่า 120 ล้านโดส สำหรับการฉีดเป็นเข็มกระตุ้นให้กับประชาชน โดยที่ทำสัญญาไปแล้วจะเป็นวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์แอสตราเซเนกา 60 ล้านโดสและวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอไฟเซอร์ 30 ล้านโดส และที่อยู่ระหว่างจัดหาคือวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิตอีก 30 ล้านโดส

การให้ความรู้กับประชาชน ให้ทราบถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นเรื่องที่จะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องและชัดเจน เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักในการป้องกันตัวเองจากการเป็นโรคนี้ หรือหากเป็นก็มีอาการไม่รุนแรงจนถึงกับเสียชีวิต ซึ่งเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับชนิดของวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามาให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีด ซึ่งถือเป็นเรื่องการดูแลด้านสาธารณสุขพื้นฐาน อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วในบทความที่ผ่านมาว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ได้พบว่าการฉีดวัคซีน ไม่จำเป็นต้องใช้วัคซีนชนิดเดียวกันเสมอ สามารถที่จะใช้วัคซีนข้ามชนิดที่เรียกว่าสูตรไขว้ในการฉีดและทำให้เกิดภูมิต้านทานที่มีปริมาณมากเพียงพอต่อการป้องกันโรคหรืออาการที่รุนแรงได้ ในระยะแรกๆ กลุ่มประชาชนทั่วไปจะได้รับการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายคือซิโนแวค 2 เข็ม ส่วนประชาชนกลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้ที่อายุเกินกว่า 60 ปี และผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่มีโรคประจำตัวที่เรียกว่ากลุ่ม 608 จะได้รับการฉีดวัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์คือแอสตราเซเนกา แต่ต่อมาก็พบว่าการฉีดสูตรไขว้ที่เริ่มต้นโดยวัคซีนซิโนแวค ไม่ว่าจะ 1 หรือ2 เข็ม แล้วต่อด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา ก็สร้างภูมิคุ้มกันได้สูงมากพอ และหลังจากที่ ได้รับบริจาควัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอรวมทั้งที่จัดซื้อเพิ่มเติมเองของไฟเซอร์ ก็พบว่าการใช้วัคซีนสูตรไขว้ เริ่มต้นด้วยแอสตราเซเนกาและต่อด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ก็ให้ภูมิคุ้มกันที่สูงมาก จึงมีการใช้สูตรนี้เป็นสูตรมาตรฐานอีกสูตรหนึ่ง หากประชาชนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนในสูตรดังกล่าวสูตรไหนก็ได้โดยครบตามข้อกำหนด ก็น่าจะมีภูมิต้านทานที่พอเพียงในการป้องกันตัวเอง

จากการที่มีการใช้วัคซีนทุกชนิดซึ่งองค์การอนามัยโลก ยังถือว่าเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินมาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี ก็มีข้อมูลเกิดขึ้นจำนวนมากว่าวัคซีนทุกชนิดแม้จะได้รับการฉีดครบโดสแบบพื้นฐาน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นในร่างกาย ก็จะมีปริมาณลดลงเรื่อยๆ โดยจะเริ่มลดลงตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป และค่อนข้างจะชัดเจนว่าหลังจาก6 เดือน ภูมิต้านทานจะค่อยๆ ลดต่ำลงมากพอสมควร ซึ่งอาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคง่ายขึ้น หรืออาจมีอาการรุนแรงหากเป็นโรค จึงเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อทำให้ภูมิต้านทานที่เริ่มลดน้อยลงนั้นกลับมามีปริมาณมากเพียงพออีกครั้งหนึ่ง

วัคซีนที่ใช้เป็นตัวกระตุ้นนั้น ในอดีตเป็นที่ยอมรับกันว่า เมื่อเคยฉีดวัคซีนชนิดใด ก็ควรจะกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดนั้น แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันสำหรับโรคโควิด-19 พบว่า การกระตุ้นด้วยวัคซีนต่างชนิดก็ทำให้เกิดภูมิต้านทานสูงมากเช่นกัน และพบว่าอาจจะสูงกว่าการใช้วัคซีนชนิดเดียวกันอีกด้วย ซึ่งเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งต่างก็มีการศึกษาวิจัยไม่น้อยไปกว่ากัน และองค์การอนามัยโลกเองก็ยอมรับถึงการใช้สูตรไขว้ในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วด้วย

สำหรับในประเทศไทยนั้น ขณะนี้วัคซีนที่ถูกนำมาใช้ฉีดให้กับประชาชน ทั้งจากภาครัฐและเอกชนมี 3 ชนิด
คือวัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ ซิโนฟาร์มและซิโนแวค วัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์ ได้แก่ แอสตราเซเนกาและวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ได้แก่ ไฟเซอร์และโมเดอร์นา การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ซึ่งรัฐบาลเริ่มรณรงค์แล้วในขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคได้กำหนดแนวทาง ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้บ้างตามความเหมาะสม ไว้ดังนี้

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นซิโนแวค-ซิโนแวค หรือ ซิโนฟาร์ม-ซิโนฟาร์ม หลังจากนั้น 1 เดือน ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยแอสตราเซเนกาหรือไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม-แอสตราเซเนกา  หลังจากนั้น 3 เดือน ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม-ไฟเซอร์ หลังจากนั้น 3 เดือนให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วย ไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นแอสตราเซเนกา-แอสตราเซเนกา หลังจากนั้น 3 เดือน ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นแอสตราเซเนกา -ไฟเซอร์/โมเดอร์นา  หลังจากนั้น 6 เดือน ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ถ้าฉีดวัคซีน 2 เข็มแรก เป็นไฟเซอร์-ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา-โมเดอร์นา หลังจากนั้น 6 เดือน ให้ฉีดเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา

ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยขอให้ปรึกษาแพทย์ก่อนได้รับการฉีดเสมอ

อาจจะมีคำถามว่า แล้วการฉีดเข็มกระตุ้นนี้จะช่วยป้องกันไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนได้หรือไม่ ก็ขออนุญาตตอบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสที่กำหนด นอกจากจะป้องกันเชื้อสายพันธุ์เดลต้า ที่ระบาดอยู่เป็นส่วนใหญ่ทั่วโลก ขณะนี้ได้ในระดับดีพอสมควร ก็ยังจะช่วยป้องกันโรคนี้จากเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนได้ด้วย ถึงแม้จะมีการพบว่าเชื้อโอไมครอนอาจจะทำให้ภูมิต้านทานที่มีอยู่ลดต่ำลง แต่ก็ยังมีปริมาณในระดับที่ไม่ควรจะทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ และหากได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นด้วยแล้ว ภูมิต้านทานที่ถูกสร้างให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีกมากนั้น จะป้องกันเชื้อโอไมครอนได้ดีกว่าเดิมแน่นอน โดยมีข้อมูลยืนยันทางวิชาการในระดับหนึ่งแล้วว่า ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นนั้นโดยเฉพาะภูมิต้านทานที่ สร้างจาก T Cell จะรู้จักเชื้อโอไมครอนได้ในระดับหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าหน้าตาของโปรตีนหนามจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด จึงทำให้ภูมิต้านทานที่มีอยู่ เข้าจัดการกับเชื้อไวรัสตัวนี้ได้

ขอเรียนให้ทราบว่าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนนั้น ถึงแม้จะมีการระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดอาการที่รุนแรง ดังจะเห็นได้ว่าจนถึงปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้อยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ ซึ่งนักไวรัสและอิมมูโนวิทยาบางท่านได้กล่าวว่า เชื้อไวรัสที่รุนแรงทำให้เกิดการเสียชีวิตมาก การระบาดที่เกิดขึ้นจึงไม่รวดเร็ว เนื่องจากผู้ติดเชื้อเสียชีวิต ส่วนเชื้อไวรัสที่ไม่รุนแรง จะมีผู้ที่ได้รับเชื้อและมีอาการแฝงอยู่มากจึงสามารถจะเป็นผู้ที่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเพราะอาการที่เกิดขึ้นจะไม่ปรากฏชัดเจนหรือไม่รุนแรงแต่อย่างใด แน่นอนว่าต้องมีกรณียกเว้นสำหรับผู้ป่วยบางรายที่เสียชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง หรือเป็นโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำผิดปกติ

การป้องกันตัวเองจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคต่างๆ นั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่าการรักษาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญจำนวนมาก แต่บางครั้งก็ไม่อาจจะช่วยชีวิตของผู้ป่วยบางรายได้ กรณีของโรคโควิด-19 นั้น เมื่อมีวัคซีนที่ดีในระดับหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว การฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน ให้กับทั้งตัวเองและมีส่วนร่วมในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศนั้น  จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง ถึงแม้ความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนจะมีอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับแล้ว การฉีดวัคซีนมีค่ามากมายนัก จึงขอรณรงค์ให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข้ารับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะที่ภาครัฐจัดหาหรือวัคซีนทางเลือกที่ท่านอยากได้ และเมื่อฉีดครบโดสที่กำหนดแล้วก็ให้เข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้น
ดังที่ได้กล่าวไว้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อชีวิตของท่านเอง

 

นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
22:52 น. 'อดีต ส.ว.สมชาย'สรุปฟังไต่สวนพยานคดีชั้น 14 บอกพยานเท็จอาการหนักมาก!!!
22:29 น. น้ำใจทหารไทย! เปิดด่านฉุกเฉินส่ง'อดีตรองเสธ.กัมพูชา' ป่วยมะเร็ง กลับบ้านอย่างอบอุ่น
22:22 น. ครั้งแรกในรอบ102ปี! 'ฝรั่งเศส'เปิดให้พลเมืองเล่นน้ำในแม่น้ำแซน การันตีคุณภาพน้ำดีเยี่ยม
22:13 น. ไม่ใช่มีแค่ถนนพระราม 2 สะพานพระราม 4 เกิดเหตุป้ายเหล็กขนาดใหญ่ตกใส่รถพังเสียหาย
21:41 น. หนีคดี 19 ปี! รวบแล้ว ‘มือมีด’ วัย 43 แทง ‘นักเรียนนายร้อย’ เสียชีวิต
ดูทั้งหมด
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ปิดตำนาน156ปี! 'กษัตริย์ชาร์ลส์'ประกาศปลดระวาง'รถไฟหลวง' สมาชิกราชวงศ์ไปใช้รถไฟปกติแทน
'เท้ง'แย่แล้ว!! เจอขบวนรถทัวร์แห่คอมเมนต์แจกพยัญชนะไทยฉ่ำ!!
บิ๊กเนม'ปชป.'ร่วมวงเพียบ!! 'คุณหญิงกัลยา'ตั้ง'พรรคไทยก้าวใหม่' พร้อมตั้ง'สุชัชวีร์'นั่งหัวหน้าฯ
‘ทักษิณ‘ พร้อมลูกสาว ’เอม พินทองทา‘ เดินทางออกจากศาลอาญา หลังสืบพยานนัดแรก คดี ม.112
ดูทั้งหมด
ต้องเลือกตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือ
บุคคลแนวหน้า : 6 กรกฎาคม 2568
ชีวิตประจำวันของผม-การทำงาน
หน้าต้องทนสูงมาก จึงทำแบบนี้ได้
วิวาทะ ว่าด้วย‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

'อดีต ส.ว.สมชาย'สรุปฟังไต่สวนพยานคดีชั้น 14 บอกพยานเท็จอาการหนักมาก!!!

ครั้งแรกในรอบ102ปี! 'ฝรั่งเศส'เปิดให้พลเมืองเล่นน้ำในแม่น้ำแซน การันตีคุณภาพน้ำดีเยี่ยม

หนีคดี 19 ปี! รวบแล้ว ‘มือมีด’ วัย 43 แทง ‘นักเรียนนายร้อย’ เสียชีวิต

อุบตอบมีชาติไหนบ้าง?! 'ทรัมป์'ลงนามจดหมายแจ้งภาษีตอบโต้12ประเทศ พร้อมร่อน7ก.ค.นี้

โหดเหี้ยม! คนร้ายซุ่มยิง‘ตำรวจ’ สภ.กรงปินัง เสียชีวิต หน้าร้านสะดวกซื้อใน จ.ยะลา

'องค์ดาไลลามะ'หวังมีพระชนม์ชีพยืนยาวนานถึง130ปี ก่อนกลับชาติมาเกิดเป็นผู้นำทิเบต

  • Breaking News
  • \'อดีต ส.ว.สมชาย\'สรุปฟังไต่สวนพยานคดีชั้น 14 บอกพยานเท็จอาการหนักมาก!!! 'อดีต ส.ว.สมชาย'สรุปฟังไต่สวนพยานคดีชั้น 14 บอกพยานเท็จอาการหนักมาก!!!
  • น้ำใจทหารไทย! เปิดด่านฉุกเฉินส่ง\'อดีตรองเสธ.กัมพูชา\' ป่วยมะเร็ง กลับบ้านอย่างอบอุ่น น้ำใจทหารไทย! เปิดด่านฉุกเฉินส่ง'อดีตรองเสธ.กัมพูชา' ป่วยมะเร็ง กลับบ้านอย่างอบอุ่น
  • ครั้งแรกในรอบ102ปี! \'ฝรั่งเศส\'เปิดให้พลเมืองเล่นน้ำในแม่น้ำแซน การันตีคุณภาพน้ำดีเยี่ยม ครั้งแรกในรอบ102ปี! 'ฝรั่งเศส'เปิดให้พลเมืองเล่นน้ำในแม่น้ำแซน การันตีคุณภาพน้ำดีเยี่ยม
  • ไม่ใช่มีแค่ถนนพระราม 2 สะพานพระราม 4 เกิดเหตุป้ายเหล็กขนาดใหญ่ตกใส่รถพังเสียหาย ไม่ใช่มีแค่ถนนพระราม 2 สะพานพระราม 4 เกิดเหตุป้ายเหล็กขนาดใหญ่ตกใส่รถพังเสียหาย
  • หนีคดี 19 ปี! รวบแล้ว ‘มือมีด’ วัย 43 แทง ‘นักเรียนนายร้อย’ เสียชีวิต หนีคดี 19 ปี! รวบแล้ว ‘มือมีด’ วัย 43 แทง ‘นักเรียนนายร้อย’ เสียชีวิต
ดูทั้งหมด
Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved