เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ผมได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเรื่องของอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นภายหลังการป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 4-12 สัปดาห์หลังการติดเชื้อดังกล่าว โดยผู้ป่วยอาจจะมีอาการหลากหลาย เช่นหายใจถี่ เหนื่อย หอบ มึน เวียนศีรษะ ความจำลดลง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการหลงเหลือนานกว่า 3 เดือน การรักษาก็จะเป็นการรักษาตามอาการ โดยมีโอกาสที่จะเป็นได้ตั้งแต่ 35-70 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการขณะที่ป่วยเป็นโควิด-19 ในครั้งแรก เรียกภาวะนี้ว่า Post COVID syndrome หรือที่รู้จักกันมากกว่าคือลองโควิด(Long COVID) โดยโรคนี้เกิดขึ้นในผู้ใหญ่
จึงเป็นที่มาของบทความในวันนี้ เนื่องจากมีผู้อ่านจำนวนหนึ่ง ได้สนใจสอบถามเข้ามาว่า แล้วในเด็กที่เป็นโรคโควิด-19 นั้น หลังจากหายแล้วจะมีภาวะหรืออาการไม่พึงประสงค์อย่างใดเกิดติดตามมาเหมือนในผู้ใหญ่หรือไม่ จึงขอถือโอกาสที่จะได้เล่าให้ฟังถึงภาวะดังกล่าวว่า ในเด็กเล็กๆ ก็มีโอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ติดตามมาเช่นกัน โดยทางการแพทย์จะเรียกกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นนี้ ว่า MIS-C ซึ่งเป็นตัวย่อของคำภาษาอังกฤษ ที่มาจากคำว่า Multisystem Inflamatory Syndrome in Children ซึ่งแปลเป็นไทยว่า กลุ่มอาการอักเสบ ซึ่งเกิดขึ้นกับอวัยวะหลายระบบในเด็ก
สาเหตุของการเกิดกลุ่มอาการ MIS-C นี้ เชื่อว่าเป็นผลจากที่เมื่อติดเชื้อโควิดแล้ว ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ซึ่งภูมิคุ้มกันที่มีปริมาณมากนี้จะย้อนกลับไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารบางตัวที่ส่งผลกระทบกับอวัยวะต่างๆของร่างกาย ได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ และระบบไหลเวียนของเลือด ปอด ตับ สมอง ผิวหนัง ตา ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆขึ้น และมีปฏิกิริยาแสดงออกมาในรูปของอาการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น
มีไข้สูง
มีผื่น ขึ้นทั่วทั้งร่างกาย
ตาแดง
ริมฝีปากแห้งแดง
ลิ้นแดง มีตุ่มขึ้น
ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย
หายใจหอบ มีความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ
ปวดศีรษะ ซึม อาจมีอาการชักได้
ไตวายเฉียบพลัน
การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
อาการอักเสบของหัวใจและลิ้นหัวใจ
และในเด็กบางราย อาจจะป่วยหนัก จนถึงกับมีอาการช็อก ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตได้
อาการของ MIS-C นี้ จะใกล้เคียงกับอาการของโรคคาวาซากิ (Kawasaki Disease) ซึ่งเกิดขึ้นในเด็กที่อายุต่ำกว่าเล็กน้อย โดยกลุ่มอาการคาวาซากิประกอบไปด้วย อาการไข้สูง ปากแดง ตาแดง มือเท้าบวมลอก ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ผื่นตามร่างกาย ซึ่งหากรักษาไม่ถูกต้อง จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่นมีการอักเสบของหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และเสียชีวิตได้ โรคนี้พบได้บ่อยในเด็กอายุในช่วงอายุ 1-5 ขวบ จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคทั้งสองนี้ออกจากกัน
โรค MIS-C นี้ จะพบได้ในช่วงระยะเวลา 2-6 สัปดาห์ หลังจากอาการของโรคโควิดหายไป พบในเด็กอายุเฉลี่ย 6-10 ปี โดยพบได้เท่าๆ กัน ในเด็กผู้ชายและผู้หญิง พบบ่อยในประเทศแถบยุโรป อเมริกา และอินเดีย ส่วนในประเทศไทยยังพบน้อยมาก หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่เป็นโควิด ก็อาจจะพบโรคนี้ได้เพียง 0.14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เนื่องจาก MIS-C เป็นโรคที่พบใหม่ จึงยังไม่มีแนวทางการรักษาที่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะรักษาแบบเดียวกับโรคคาวาซากิ เป็นการรักษาแบบประคับประคอง และให้ยากลุ่มที่ต้านการอักเสบ ฉะนั้นหากผู้ป่วยเด็กรายใดมีการติดเชื้อโควิค-19 เกิดขึ้น และหายจากโรคแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตอาการของเด็กเหล่านี้ด้วย หากพบว่ามีอาการตามที่กล่าวไว้แล้ว หรือแม้แต่มีข้อสงสัย ควรจะรีบนำเด็กกลับไปพบแพทย์โดยทันที
ฉะนั้น การป้องกันโรค MIS-C ที่ดีที่สุด คือการป้องกันไม่ให้เด็กป่วยเป็นโรคโควิด-19 หรือหากเป็นก็มีอาการเพียงเล็กน้อย นั่นก็คือการนำเด็กที่มีอายุน้อยๆ ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ยินยอมให้เด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปฉีดวัคซีนได้แล้ว โดยมีวัคซีนที่ใช้ได้อยู่ 2 ชนิด คือวัคซีนชนิดเชื้อตายซิโนแวคหรือซิโนฟาร์ม และวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้ฉีดกับเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปได้แล้วด้วย ส่วนวัคซีนโมเดอร์นาซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอเช่นเดียวกันนั้น อยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ใช้เป็นวัคซีนทางเลือกตัวหนึ่ง
ขอย้อนกลับมาดูเรื่องการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ถือได้ว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวัน อยู่ที่ระดับ 7,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตไม่เกินกว่า 60 รายมาหลายวันแล้ว ซึ่งเชื่อกันว่า หากตัวเลขเหล่านี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ก็จะทำให้การเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นไปได้โดยสมบูรณ์ อันจะนำมาซึ่งรายได้จำนวนมหาศาล เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา และการที่ตัวเลขต่างๆ ดีขึ้นนั้น อีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากความมีระเบียบวินัยของประชาชนชาวไทย ที่ร่วมกันปฏิบัติตัวด้วยการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ที่ประกอบไปด้วยการใส่หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่างระหว่างผู้คน และการล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถจะฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา-19 สายพันธุ์ต่างๆ ได้หมด
แต่ที่ต้องขอชื่นชมประการหนึ่ง คือความเข้มแข็งของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในเรื่องของการออกกฎระเบียบและมาตรการต่างๆ ที่นำไปปฏิบัติอย่างได้ผลในการป้องกันและควบคุมโรคนี้ ตลอดจนการรักษาและการดูแลผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพยิ่งของทางทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุขต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมไปถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือการที่รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนทุกชนิด เข้ามาฉีดให้กับประชาชนอย่างพอเพียง รวมทั้งแรงเสริมจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชนในการจัดหาวัคซีนทางเลือกด้วยเช่นกัน
จำนวนตัวเลขล่าสุดของการฉีดวัคซีนทุกชนิดในประเทศไทยรวมกันจนถึงปัจจุบันนี้ มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า 135 ล้านโดส โดยฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้วมากกว่า 56 ล้านราย คิดเป็น 81 เปอร์เซ็นต์เศษฉีดเข็มที่ 2 แล้วมากกว่า 51 ล้านราย คิดเป็นประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ และฉีดเข็มที่ 3 หรือเข็มบูสเตอร์แล้ว ประมาณ 27 ล้านราย คิดเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ควรได้รับวัคซีน
หากแยกเฉพาะเด็กที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับวัคซีนได้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงอายุ มีข้อมูลว่าเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ซึ่งมีทั้งหมดมากกว่า 5.11 ล้านคนมีความประสงค์จะฉีดวัคซีน 87.48 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 4.47 ล้านคน พบว่า มีเด็กที่ได้ฉีดวัคซีนแล้ว 1 เข็ม จำนวน 4.27 ล้านคน คิดเป็น 95.53 เปอร์เซ็นต์ ฉีดเข็ม 2 แล้ว 3.51 ล้านคน คิดเป็น 78.47 เปอร์เซ็นต์ และฉีดเข็ม 3 แล้ว 5.6 หมื่นคน คิดเป็น 1.26 เปอร์เซ็นต์
ส่วนเด็กอายุ 5 -12 ปี ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 5.26 ล้านคน ประสงค์ฉีดวัคซีน 3.36 ล้านคน คิดเป็น 64.02 เปอร์เซ็นต์ มีเด็กที่ฉีดเข็ม 1 แล้ว 1.78 ล้านคน หรือ 52.9% ฉีดเข็ม 2 แล้ว 2.96 แสนคนหรือ 8.7 เปอร์เซ็นต์
จะเห็นว่าในกลุ่มเด็กอายุ 5 -12 ปี ยังมีจำนวนการฉีดวัคซีนไม่มาก จึงมีความเสี่ยงต่อการที่จะติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการรุนแรงได้ และเด็กในช่วงอายุนี้ มีโอกาสของการที่จะเกิดโรค MIS-C ได้พอควร ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วก็จะเป็นอันตราย จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องให้ความสำคัญกับเด็กในช่วงอายุนี้ ให้ฉีดวัคซีนให้มากขึ้น โดยต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม ซึ่งจะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน ต่อโรคโควิด-19 ได้พอเพียง เพราะขณะนี้ก็ใกล้ระยะเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้โรงเรียนในทุกสังกัดที่มีอยู่ 35,553 โรง เปิดเรียนตามปกติแล้ว ซึ่งในกระบวนการจัดการเรียนการสอนนั้น เป็นเรื่องยากที่จะแยกเด็กเล็กๆ ออกจากกัน หากมีเด็กคนใดคนหนึ่งติดเชื้อ โอกาสที่เชื้อจะแพร่กระจายไปสู่เพื่อนร่วมห้องย่อมเกิดขึ้นได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
จึงขอรณรงค์ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กอายุระหว่าง 5-12 ปี นำลูกหลานของท่านไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้เร็วที่สุด และหากฉีดได้ครบ 2 เข็มได้เร็วเท่าใด ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการป้องกันลูกหลานของท่านไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 หรือหากติดเชื้อ ก็จะมีอาการเพียงเล็กน้อย รวมทั้งลดโอกาสของการที่จะเกิดโรค MIS-C ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะหลายระบบทั่วร่างกาย อันอาจจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อลูกหลานของท่าน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี