ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู กล่าวว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ตำรานี้หากนำมาประยุกต์ใช้ในสงครามการค้าประเทศไทยคงไม่เพลี่ยงพล้ำ ที่เป็นอย่างนี้ เพราะเรามีรัฐบาล “ไม่รู้เขา และไม่รู้ (จัก)ตัวเราเอง” ด้วยซ้ำ
เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ไม่รู้ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจไปทิศทางไหน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ความมั่นคงของชาติคืออะไร นายกฯ ไทยเหมือนหุ่นกระบอก ที่สทร.พ่อชักเชือกอยู่หลังฉากการบริหาร
สทร.เอง ก็มั่นใจในทีมที่ปรึกษาที่ใช้งานกันมา 25 ปี ที่หลงยุคไม่รู้ว่า สงครามการค้ายุคใหม่เขาต่อสู้กันอย่างไร เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำสงครามการค้า โดยขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ปรึกษารัฐบาลไทยจึงอยู่ในภาวะงงงัน
คนทั่วโลกก็ตกตะลึงตั้งตัวไม่ทัน ตลาดทุนตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนครั้งใหญ่ ตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐและ ยุโรปหุ้นตกลงไปกว่า 40% ในเวลาเดียวกัน ทองซึ่งเป็นทรัพย์สินมั่นคงราคาเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 10%
นั้นหมายความว่า คนรวยทั่วโลกจนลงทันที 40% และคนรวยส่วนหนึ่งรวยเพิ่มขึ้น 10% คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศตกใจไปกับเขาด้วย เพราะสื่อประโคมข่าวกันว่า ประเทศไทยจะเสียหายประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาทในปีนี้แต่คนไทยกว่า 90% ไม่รู้ว่ามันเสียหายอย่างไร เพราะไม่รู้จักตลาดหลักทรัพย์ ซ้ำยังไม่มีปัญญาเกี่ยวข้องกันการซื้อขายทองคำ
ส่วนนายกรัฐมนตรีเศรษฐีหมื่นล้าน ยิ่งไม่เข้าใจว่าทรัมป์ ขึ้นภาษีกระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรงขนาดไหน เนื่องจากคนใกล้ชิดบอกว่า การส่งออกปีนี้สูงที่สุดในรอบเจ็ดปี ทำให้เธอปลื้มกับตัวเลขส่งออก โดยไม่ได้มองว่า โรงงานในประเทศไทยปิดตายไปหลายพันแห่ง ผลผลิตตกต่ำ คนตกงานกว่าห้าหมื่นคน ซึ่งสวนทางการกับส่งออกที่สูงขึ้น
รัฐบาลไทยไม่ได้เอะใจว่า สินค้าส่งออกมีปริมาณและมูลค่าสูงขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสวมสิทธิ์คือผลิตจากประเทศอื่นแล้วมาตีตรา Made in Thailand เพื่อส่งไปขายในอเมริกา ซึ่งได้ส่วนต่างจากภาษี
ในขณะที่ทั่วโลกตกตะลึงกับมาตรการขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 7 วันต่อมา ทรัมป์ ประกาศชะลอการเก็บภาษี 90 วัน ทันทีที่ ทรัมป์ ชะลอการเก็บภาษี ตลาดหุ้นในอเมริกา พุ่งสูงขึ้นทะลุเพดาน นักลงทุนที่รู้ข้อมูลภายใน ช้อนซื้อหุ้นไว้ล่วงหน้ารวยกันเป็นพันล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่ชั่วโมง นั่นคือการโกงที่คนไทยทั่วไปไม่เข้าใจว่า มันคืออะไร
เนื่องจากว่า ตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าสหรัฐฯ ไม่ว่ากะปิ น้ำปลา ข้าวสารปลาร้า สะตอ ลูกเนียง มะนาว มะพร้าว ฯลฯ คนไทยปลูกกินเอง หรือไม่ก็ซื้อขายกันในหมู่บ้าน
เครื่องใช้ในบ้าน ทีวี พัดลม หม้อหุงข้าว ตู้เย็น เครื่องซักผ้า สินค้าเหล่านี้ทำในประเทศไทย หรือไม่ก็จีน ญี่ปุ่น เกาหลี โทรศัพท์มือ 90% คนไทยไม่ได้ใช้ iPhone ของอเมริกา
รถยนต์หลายสิบล้านคันที่วิ่งสวนกันไปมา ก็เป็นรถญี่ปุ่น จีน เกาหลี นานทีปีหนได้เห็นรถยนต์ผลิตในอเมริกาแล่นผ่านหน้าสักคัน เสื้อผ้าอาภรณ์ 90% คนไทยก็ไม่ได้ซื้อจากอเมริกาตะวันตก คนส่วนใหญ่จึงไม่เข้าใจว่า ทรัมป์ขึ้นภาษีทำให้คนไทยอดตายได้อย่างไร
นายกรัฐมนตรี ผู้ไร้เดียงสา ไม่มีวุฒิภาวะ ยิ่งไม่รู้สึกรู้สาว่า คนไทยเดือดร้อนอย่างไร เพราะเธออยู่ในสังคมเศรษฐีหมื่นล้านแสนล้าน ดังนั้น เมื่อทรัมป์ประกาศสงครามการค้า เธอเพียงเอะใจเล็กน้อยว่ามันคืออะไร ในขณะที่นายกฯไทยเอะใจ สทร. ผู้เป็นบิดา เรียกหาที่ปรึกษาว่า จะหลอกคนไทยอย่างไร
ที่ปรึกษาใหญ่ในบ้านพิษณุโลก ให้ความเห็นว่าเราเคยจ้างล็อบบี้ยิสต์ (คนวิ่งเต้น)ในอเมริกาสมัยรัฐบาลไทยรักไทย จ้างคนพวกนั้นให้วิ่งเต้นเรื่องภาษีทรัมป์ดีไหม? เมื่อ สทร. กับที่ปรึกษาเข้าใจตรงกันก็ออกมาโพนทะนาว่า สทร. ไทย ซี้ปึ้ก กับ ปธน.ทรัมป์ จะเจรจาต่อรองให้ลดอัตราภาษีลงได้ คนไทยไม่ต้องกังวล
ในขณะที่เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่นรีบส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงติดต่อเจรจากับสำนักงานการค้าสหรัฐหรือ USTR บางรายติดต่อสื่อสารโดยตรงกับ ปธน.ทรัมป์ ส่วนรัฐบาลเพื่อไทยมั่นใจในความเก๋าของ สทร. จ้างล็อบบี้ยิสต์ 200 ล้านบาทให้ประสานงานเจรจาต่อรองภาษีการค้ากับสหรัฐ
ระหว่างที่เศษฝรั่งใช้เงิน 200 ล้านบาทวิ่งเต้นอยู่นั้น รัฐบาลเพื่อไทยปลอบตัวเองว่า สหรัฐคงลดภาษีให้ไทยพอรับได้ในฐานะที่ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นมิตรกันมา 200 ปี ในเวลาเดียวก็มั่นใจที่ สทร. คุยโม้ว่าเป็นเพื่อนกับทรัมป์ นายกรัฐมนตรีไทยถึงพูดว่า บิดาไม่ได้พบทรัมป์ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส
เพราะไม่รู้เขา คือ ไม่รู้ว่าเขาหลอก ไม่รู้เรา คือไม่รู้ว่าเราโง่ ถึงวันที่ล็อบบี้ยิสต์แจ้งมาว่า ติดต่อประสานงานให้แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร เดินทางไปพบผู้แทน USTR พูดจาอะไรบ้างไม่ทราบได้ แต่นายพิชัยแถลงข่าวว่า ยังปิดดีลไม่ได้ เราต้องปรับข้อเสนอใหม่ส่งไปให้เขาพิจารณา
นายพิชัยแถลงข่าว ไม่ทันข้ามวัน หนังสือจาก ปธน.ทรัมป์ ส่งมาถึงสำนักพระราชวัง และ ทำเนียบรัฐบาล ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 36% ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยช็อกตาค้าง และด้วยความเจ้าเล่ห์ของ สทร. ผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลเพื่อไทย เมื่อดูรายละเอียดในหนังสือที่ทรัมป์ขู่ว่า จะเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป สทร. บอกสมุนบริวารว่า เรามีเวลายื่นขอเสนอใหม่อีกหลายวัน
ที่น่าตกใจ คือ รัฐบาลเพื่อไทยไม่เคยบอกความจริงกับคนไทยว่า ใช้อะไรเป็นข้อต่อรองกับอเมริกาและรัฐบาลไม่บอกว่าสหรัฐต้องการอะไร ทำให้คลางแคลงใจว่า “รัฐบาลเพื่อไทยอาจเอาความมั่นคงชาติไปแลกกับการลดภาษีของสหรัฐหรือไม่” เนื่องจาก จาก สทร. มักง่ายเคยนำความมั่นคงของชาติไปให้สหรัฐใช้เป็นเดิมพันตั้งแต่สมัยไทยรักไทย
ปี 2546 ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่งทหารไทยไปร่วมรุกรานอิรัก เป็นเหตุให้ประเทศไทยเสี่ยงภัยผู้ก่อการร้ายจากโลกมุสลิม ปี 2556 รัฐบาล เพื่อไทยในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกลงในเบื้องต้นให้สหรัฐใช้อู่ตะเภา เป็นฐานปฏิบัติการปิดกั้นต่อต้านจีนโชคดีที่คนไทยรู้ทันประท้วง ขัดขวางแผนการของรัฐบาลเพื่อไทยในตอนนั้นได้
สหรัฐมีความมุ่งมั่นตั้งฐานทัพลอยน้ำในอ่าวไทย และ ใช้อู่ตะเภาเป็นฐานกีดกันต่อต้านจีนมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็น และ รุกเร้าบีบคั้นไทยทุกสมัยที่รัฐบาลไทยอ่อนแอ ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา วอชิงตันสงวนท่าทีไว้ และเชื่อว่าในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งมีดีเอ็นเอไทยรักไทย วอชิงตันอาจใช้การขึ้นภาษี 36 % เป็นข้อต่อรองกดดันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมานานหลายปี
จากสถิติที่ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ อยู่ที่ 29,371 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าสูงๆ 15 ลำดับแรก ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 3.ยางรถยนต์ 4.เซมิคอนดักเตอร์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้า 6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ 7.ชิ้นส่วนรถยนต์ 8.อัญมณี 9.เครื่องปรับอากาศ 10.กล้องถ่ายรูป 11.เครื่องปริ้นเตอร์ 12.วัตถุดิบอาหารสัตว์ 13.แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 14.ข้าว และ 15.ตู้เย็น
ข้อมูลรวมในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังสหรัฐฯ โดยมีมูลค่ารวม 4,759 ดอลลาร์สหรัฐ สินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯมากที่สุด ได้แก่ อาหารสุนัขและแมว, ข้าว, ปลาทูน่าปรุงแต่ง, และน้ำผลไม้/น้ำผัก
จะเห็นได้ว่าสินค้าเกษตรที่ส่งขายสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรแปรรูปของบริษัทผูกขาดรายใหญ่ เกษตรกรไทย เพียงขายวัตถุดิบให้บริษัทผูกขาดเท่านั้น คนไทยจึงมีรายได้จากขายแรงงาน ที่เลวร้ายกว่านั้น แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านหลายล้านคนหากินอยู่กับโรงงานอุตสาหกรรมไทย
เมื่อรัฐบาลมีข้อเสนอใหม่ไปต่อรองกับสหรัฐ รัฐบาลเพื่อไทยต้องเปิดเผยรายละเอียดว่าไทยซื้อสินค้าเกษตรอะไรจากสหรัฐบ้าง ประเทศไทยต้องซื้อเครื่องบินโบอิ้ง มาเพิ่มภาระให้การบินไทยกี่ลำ ประเทศไทยจะเก็บภาษี 0% สินค้านำเข้าจากสหรัฐเหมือนเวียดนามไหม
#ที่สำคัญรัฐบาลเพื่อไทยยอมให้สหรัฐตั้งฐานทัพลอยน้ำในอ่าวไทยหรือให้สหรัฐใช้อู่ตะเภาเป็นฐานปิดกั้นต่อต้านจีนหรือไม่ #หนึ่งในเงื่อนไขหนักอก ที่ “ทรัมป์” ร้องขอมากับไทย แลกเปลี่ยนภาษี คือการขอใช้ “#ฐานทัพเรือทับละมุ” ที่จ.พังงา เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจทางเรือกับจีน จริงหรือไม่
นี่เป็นคำถามสำคัญที่รัฐบาลต้องตอบคนไทย เพื่อจะได้รู้ว่า คนไทยได้อะไรและเสียอะไรจากการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี