จบไปแล้วกับสัปดาห์เดือดประจำเดือนพฤษภาคม ผลกระทบจากคะแนนการเลือกตั้งและปัจจัยอื่นๆ รอบด้าน ที่ทำให้หลายคนเชื่อว่ารัฐบาลดูจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักและอาจพลิกสถานการณ์การเมือง แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ คงต้องบอกว่าเกมนี้ยังไม่จบ และหากมองทั้งกระดานการเลือกตั้งสนามที่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังมีอะไรที่มากกว่านั้น
หากลองไล่เรียงตามไทม์ไลน์แล้ว การเลือกตั้งซ่อมของจังหวัดราชบุรี นับเป็นสนามแรกในสามสนาม ที่ได้ฤกษ์ลั่นกลองรบก่อนสมรภูมิการเลือกตั้งอื่นๆ พื้นที่ราชบุรีเขต 3 ซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตการรับผิดชอบของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ จากค่ายพรรคพลังประชารัฐ แต่ด้วยอุบัติเหตุทางการเมืองที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้บทบาททางการเมืองต้องถูกยุติบทบาทลง ส่งผลให้ต้องทำการเฟ้นหาผู้แทนฯ คนใหม่มาทำหน้าที่แทน
แต่ที่แตกต่างออกไปคือรอบนี้พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ส่งผู้สมัครในนามของพรรคลงชิงชัย อาจเพราะการเตรียมการเกี่ยวกับผู้สมัครคนใหม่ยังไม่เรียบร้อย หรืออาจเพราะสถิติเลือกตั้งซ่อมปีนี้ที่ยังไม่เข้าเป้าเลย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้ อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะในท้ายที่สุดแม้จะเสียฐานที่มั่นเดิมไป แต่เจ้าของพื้นที่ใหม่ก็ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งก็คงไม่ส่งผลทางบวกหรือทางลบมากมายนักต่อคะแนนเสียงในสภา
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะหลังจากที่สามารถรวบหัวหาดในการเลือกตั้งซ่อมของภาคใต้คืนมาได้ ในเวทีเลือกตั้งซ่อมของภาคกลางก็ยังทำผลงานในระดับที่ดี จนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นเจ้าของพื้นที่คนใหม่ ซึ่งถือเป็นแต้มบวกหนึ่ง และอาจส่งผลไปถึงเวทีการเลือกตั้งสนามใหญ่ในอนาคต แต่สำหรับเวทีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ กลับไม่เป็นเช่นนั้น
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ครั้งก่อนหน้าเมื่อปี 2556 ตัวแทนรั้วประชาธิปัตย์อย่าง หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ก็เข้าวินมาได้ พร้อมกับสถิติคะแนนสูงที่สุดในเวทีกรุงเทพฯ จึงไม่แปลกที่ทางพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงมีความหวังไม่น้อยสำหรับการที่นายสุชัชวีร์ จะปักธงในสมรภูมิครั้งนี้แม้ผลการเลือกตั้งซ่อมภาคใต้เมื่อต้นปีรวมถึงเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดราชบุรี ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้มา ยังคงพอประเมินได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีที่ยืนถึงการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า แต่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กลับไม่เป็นเช่นนั้น
แม้จะบอกได้ว่าผู้สมัครของประชาธิปัตย์รอบนี้ก็ยังถือได้ว่าฟอร์มดีกว่าอีกหลายคน แต่ก็ยังคงดีไม่พอ เพราะม้าเต็งอันดับหนึ่งอย่างนายชัชชาติ ยังคงรักษาฟอร์มที่ดีมาโดยตลอดต้นจนจบ จนสามารถคว้าชัยในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้ในที่สุด ด้วยคะแนนเสียงแตะหลักล้าน พร้อมทำลายสถิติคะแนนในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์
หากไม่มีอะไรผิดพลาดนายชัชชาติ จะเป็นพ่อเมืองกรุงเทพฯ ต่อจากพลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง แต่สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือการทำงานของนายชัชชาติ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ว่าจะมีอุปสรรคอย่างที่หลายฝ่ายต่างกังวลหรือไม่ ?
แม้จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้น แต่ด้วยความที่ทีมนายชัชชาติไม่ได้ส่งผู้สมัคร สก. ลง และอาจต้องอาศัยแรงสนับสนุนจาก สก. สังกัดอื่นๆ แต่ผลที่ออกมาก็น่าจะคลายกังวลให้นายชัชชาติได้บ้าง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยที่ไม่ได้ส่งผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในนามสังกัด ก็ออกโรงหนุนนายชัชชาติ ซึ่งสัดส่วน สก. จากพรรคเพื่อไทยก็ได้ในสัดส่วนที่เยอะในระดับหนึ่ง อีกทั้งหลังจากที่ได้มีการประกาศผลการนับคะแนน ยังปรากฏข่าวตามหน้าสื่อ ถึงการที่นายวิโรจน์ ตัวแทนผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ จากพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สก. ในสังกัด ลงพื้นที่ร่วมกับนายชัชชาติอีกด้วย
แม้จะดูเหมือนเป็นพันธมิตรทางการเมืองในสภา แต่การที่ต้องการแข่งกันในการเลือกตั้งสส.ต้นปีหน้าในพื้นที่กทม. ที่ทั้งสองพรรคคาดหวัง ความร่วมมือกันของสองพรรคในกทม.ก็เชื่อว่า อาจร่วมได้บางส่วนเท่านั้นเพราะผลงานของนายชัชชาติ อาจสะท้อนไปที่พรรคเพื่อไทยมากกว่าใคร นอกจากนี้แล้วอย่าลืมว่านอกจากเรื่องแรงสนับสนุนจาก สก. แล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของพ่อเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่เหลือก็คงต้องรอดูหน้างานว่าการปฏิบัติหน้าที่ของนายชัชชาติจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่ ?
เอาเข้าจริงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นายชัชชาติ จะได้คะแนนเสียงมากพอจนสามารถครองเก้าอี้พ่อเมืองกรุงเทพฯ ได้ เพราะก่อนหน้านี้แต่ละสำนักก็พร้อมใจกันยกนายชัชชาติขึ้นมาเป็นเต็งอันดับหนึ่งแซงหน้าผู้สมัครท่านอื่นมาโดยตลอด แต่การที่นายชัชชาติ ผู้สมัครอิสระ ได้รับคะแนนไว้วางใจอย่างล้นหลาม ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าชาวเมืองกรุงเทพฯ ไม่ได้ยึดติดกับพรรคการเมือง แต่การตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกผู้ว่าฯล้วนๆ มาจากการเลือกที่ตัวบุคคลเป็นส่วนใหญ่ แต่นี่ก็กลับเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่แม่ทัพเพื่อไทยจะวางใจไม่ได้ โดยเฉพาะสถิติคะแนนรวมของสก.เพื่อไทยทุกเขตที่ยังน้อยกว่าคะแนนรวมของนายชัชชาติเป็นอย่างมาก แปลได้ว่าอาจมีคะแนนที่นายชัชชาติได้มาทั้งหมดไม่สามารถตีเป็นคะแนนเพื่อไทยได้ รวมถึงคะแนนสก.เพื่อไทยเทียบกับก้าวไกล
ในส่วนของฐานคะแนนเสียงของ สก. ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสังเกตไม่น้อยไปกว่าฐานคะแนนเสียงของผู้ว่าฯ ที่น่าสนใจคือกรุงเทพฯ ชั้นนอก สก. จากพรรคเพื่อไทยกวาดเรียบแทบทุกสนามการประลองซึ่งก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่าคำว่า พรรคเพื่อไทย ยังคงขายได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่มีผู้สมัครผู้ว่าฯในนามพรรคมาช่วยเป็นแม่เหล็กดูดคะแนนเสียง และพรรคเพื่อไทยเองก็ยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองกับกรุงเทพฯ ส่วนชั้นนอกอยู่ไม่น้อย แม้พรรคก้าวไกลจะสามารถสอดแทรกสีส้มบนแผนที่ชั้นนอก กทม. ได้บ้างก็ตาม
อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ ในบางพื้นที่ที่เคยเป็นเขตสีฟ้า ฐานคะแนนเสียงเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกทาสีทับ ด้วยสีส้มของทางพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน แต่หากจะบอกว่าพรรคก้าวไกลสามารถปักธงใจกลางกรุงเทพฯได้สำเร็จก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะหากมองย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคก้าวไกลสามารถกวาดพื้นที่ฐานเสียงกรุงเทพฯชั้นในของพรรคประชาธิปัตย์ได้หมด แต่ผลการเลือกตั้ง สก. ในครั้งนี้ก็ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังสามารถทวงฐานที่มั่นบางส่วนคืนมาจากพรรคก้าวไกลได้เป็นผลสำเร็จ แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นฐานเสียงคนละกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การแย่งฐานคะแนนเสียงจากฐานเสียงคนละกลุ่มจะเกิดขึ้นไม่ได้ ใช่หรือไม่ ?
หากจะบอกว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ที่ออกมาเป็นการเช็คคะแนนเสียงแต่ละพรรคการเมืองโดยรวมก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าผลการเลือกตั้ง สก. สามารถสะท้อนคะแนนนิยมของแต่ละพรรคการเมืองในปัจจุบันก็คงไม่แน่? นี่อาจเป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่พรรคการเมืองต่างๆ เตรียมตัวที่จะนำไปประยุกต์ พัฒนา และปรับใช้ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการเลือกตั้งของแต่ละพรรค เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ ? สำคัญที่สุดคือการที่นายชัชชาติชนะด้วยคะแนนแลนด์สไลด์ได้ในครั้งนี้ จะมีนัยสำคัญที่จะส่งสัญญาณไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ซ่อนอยู่ด้วยหรือไม่?
ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านพ้นไปในแต่ละพื้นที่ย่อมจะส่งผลต่อการเลือกตั้งสนามใหญ่อยู่บ้าง
แต่ผลกระทบ ที่เกิดขึ้นกับแต่ละเวที แต่ละสังกัดทางการเมืองย่อมมีความแตกต่างกัน เช่นเดียวกับการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ก็บ่งบอกถึงความพร้อมในการจัดกระบวนทัพเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่หรือไม่?
ก่อนหน้านี้บ้านใหญ่คุณปลื้ม ก็เป็นอีกหนึ่งบ้านที่ถูกปัญหาถาโถมเข้ามาใส่ จนคอการเมืองต่างพากันคาดเดาว่า ในการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา จะเป็นอีกหนึ่งแบบทดสอบสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า กลุ่มบ้านใหญ่ จะยังคงสามารถปักธงชัยในท้องที่นี้ได้อีกหนึ่งคำรบหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมาก็คงทำให้บ้านใหญ่ โล่งอกและคลายความกดดันไปได้บ้าง เพราะในตอนนี้ผลการเลือกตั้งเมืองพัทยา ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของบ้านใหญ่คุณปลื้ม ก็ได้เฉลยแล้วว่า บ้านใหญ่เมืองชลยังสำคัญกับการเมืองท้องถิ่นของจังหวัดชลบุรีอยู่ และยังมีศักยภาพมากพอในการลุยศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่าหลังจากที่บ้านใหญ่สามารถคว้าชัยชนะในท้องถิ่นของตนเองได้ ทางต้นสังกัดจะมีการปรับกระบวนทัพรับศึกการเลือกตั้งสนามใหญ่อย่างไรต่อไปกันแน่ จะย้ายไปซบอกสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคดังเมืองสุพรรณตามที่เป็นกระแสข่าวก่อนหน้า ? กลับบ้านเก่าที่อบอุ่นอย่างค่ายพลังชล ? หรือจะเลือกเดินในเส้นทางเดิมกันแน่ ? เชื่อว่าไม่นานหลังจากนี้คงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นของค่ายใหญ่เมืองพัทยาอย่างแน่นอน
หลังจากที่ศึกการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปในทุกสมรภูมิท้องถิ่น ไม่ทันที่จะได้พักเพื่อหายใจหายคอ ศึกการประชุมสภาฯ ก็กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เว้นช่วงไปสักระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบที่สำคัญสำหรับเสถียรภาพรัฐบาล ว่ายังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมอยู่หรือไม่หลังจากที่เพิ่งบอบช้ำมาจากศึกคราวก่อน แต่ไม่ทันที่ระฆังออกศึกจะถูกตี ก็เกิดลางไม่ดีขึ้นเสียแล้ว
ทั้งที่พรรคเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงตั้งตัว ทั้งมีการทาบทามผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเพื่อเป็นการเสริมคมให้กับพรรค แต่กลับต้องมาเจอกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ จากการที่พลเอกวิชญ์ในฐานะหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ต้องก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค 15 คน จาก 22 คนยื่นหนังสือลาออก ส่งผลให้คณะผู้บริหารชุดปัจจุบันต้องพ้นจากตำแหน่ง และจะต้องเลือกใหม่ภายใน 45 วัน
ซึ่งก็มีกระแสออกมาว่า รอยร้าวภายในพรรคเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อาจเป็นเพราะความไม่ลงรอยในการทำงาน ระหว่างหัวหน้าพรรคอย่างพลเอกวิชญ์กับร้อยเอกธรรมนัสในบทบาท เลขาธิการพรรค ซึ่งมีความคิดที่ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ อีกทั้งยังมีการพาดพิงถึงบุคคลที่สามอีกด้วย
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีลรับดีลร่วมอะไรหรือไม่ ? แต่การกระทำเช่นนี้ในช่วงที่คะแนนความนิยมของรัฐบาลกำลังมีปัญหาก็คงไม่อาจทำให้ลูกพี่อย่างพลเอกประวิตรจะนิ่งเฉยได้
เอาเข้าจริง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบรอยร้าวระหว่างร้อยเอกธรรมนัสกับบุคลากรคนสำคัญของพรรค เพราะหากย้อนเวลากลับไปในสมัยที่ ร้อยเอกธรรมนัส ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐอยู่ ก็พบปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างร้อยเอกธรรมนัสและพลเอกประยุทธ์เช่นกัน แม้พลเอกประยุทธ์จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าพลเอกประยุทธ์เป็นหนึ่งในคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ ?
และเมื่อร้อยเอกธรรมนัสย้ายมาสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ยังพบกับปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของการทำงานและแนวคิดที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันกับหัวหน้าพรรคอีกเช่นเคย ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าร้อยเอกธรรมนัสอาจเล็งเห็นว่า ทางเดียวที่จะไม่มีปัญหากับผู้ใหญ่ภายในพรรค คือการนั่งแท่นผู้นำทัพ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองหรือไม่ ?
บทสรุปของเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่าหลังจากนี้สถานการณ์ของพรรคเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปในทิศทางใดต่อไป อีกทั้งความไม่แน่นอนของพรรคเศรษฐกิจไทยจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลมากน้อยเพียงใด ? เพราะอย่าลืมว่าคะแนนโหวตของพรรคเศรษฐกิจไทยก็มากพอที่จะอุ้มหรือสั่นคลอนรัฐบาลได้
หากเสียงที่จะสนับสนุนผันเปลี่ยนกลายเป็นเสียงที่คอยทักท้วง ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน และที่สำคัญที่สุดพลเอกประวิตรจะมีท่าทีกับการเปิดเกมของร้อยเอกธรรมนัสในครั้งนี้อย่างไร ?
การเลือกตั้งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะดูเหมือนสำคัญ แต่ก็ยังไม่ใช่ปลายทาง
เพราะในท้ายที่สุดแม้ศึกการเลือกตั้งย่อยได้ผ่านพ้นไปแต่ศึกในสภาฯ สมัยประชุมนี้นั้นแค่เพิ่งเริ่มต้น
“หากท่านเป็นบุรุษ ควรเข้าใจเรื่องประการหนึ่งจึงประเสริฐ หากมีบุรุษอื่นมายกย่องชมเชยท่านต่อหน้า หากมิใช่เคารพนับถือท่านจนศิโรราบจริงใจ ก็ต้องเป็นเห็นท่านต่ำทรามจนไร้ค่า และมักยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงด้วย แต่หากมันชมท่านลับหลัง นั้นก็เป็นการชมโดยจริงใจ”
ผู้ยิ่งใหญ่ จาก โกวเล้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี