ผลการลงคะแนนเสียงรับหลักการงบประมาณ 1.853 ล้านล้านบาทปี 2566 สส.โหวตรับหลักการถึง 278 เสียงและไม่รับหลัก 194 เสียงผลที่ออกมาทำให้ฝ่ายค้าน ที่หมายมั่นปั้นมือว่า ต้องล้มรัฐบาลได้ผลสุดท้ายต้องโยนผ้าขาว
พรรคแกนนำรัฐบาลก็พ่ายแพ้เช่นกัน เมื่อพรรคพลังประชารัฐ ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย สถานการณ์การเมืองเป็นเช่นนี้ จึงทำนายได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงตู่” จะยังคงอยู่เป็นนายกรัฐมนตรีไปได้อีกนาน อย่างน้อย ก็ยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลจนหมดวาระสภาชุดนี้
ในสภาพความเป็นจริงที่ “ลุงตู่” บริหารประเทศแบบรัฐราชการมาได้นานถึงแปดปี ไม่ใช่เพราะลุงตู่มีความเก่งกาจ หรือมีความสามารถพิเศษเหนืออดีตนายกฯที่ผ่านๆ มา แต่นักวิเคราะห์การเมืองพูดตรงกันมานานแล้วว่า“จุดแข็งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ ปัญหาเรื่องสติปัญญาของฝ่ายค้าน”ถ้าให้พูดกันง่ายๆ แบบภาษาไทยสมัยพ่อขุนต้องใช้คำว่า “รัฐบาลอยู่ได้เพราะฝ่ายค้านโง่”
สามปีที่ผ่านมาทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรืออภิปรายกฎหมายสำคัญเช่นพ.ร.บ. งบประมาณ 1 เดือนก่อนหน้าอภิปราย ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน มักรับคำแนะนำแนวทางโค่นล้มรัฐบาลมาจากคนแดนไกลซึ่งอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงของสังคมไทยกว่าสิบห้าปี
แต่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ยังคงยึดมั่นในแนวทางของคนแดนไกล เป็นคัมภีร์ไบเบิลและผู้นำพรรคฝ่ายค้านเอาคำแนะนำเหล่านั้น มาเป็นนโยบายขยายความกว้างขวางออกไป จนจับเนื้อหาสาระไม่ได้ว่าฝ่ายค้านพูดเรื่องอะไร ทำไมถึงเอาเรื่องเก่าๆ มาโจมตี และมีหลายครั้งที่สส.ฝ่ายค้านบางคนลามปามไปถึงสถาบัน
นอกจากนั้น สส.ฝ่ายค้าน ที่ไม่มีประสบการณ์ ไปหลงลมนักการเมือง เจ้าเล่ห์เพทุบาย ที่อยู่กับฝ่ายค้านก็ได้ อยู่ฝ่ายรัฐบาลก็ดี
หากพิจารณากันตามความเป็นจริง ปัจจุบันนี้ 4 พรรคร่วมรัฐบาลรวมกันแล้วมีเพียง 215 เสียง 6 พรรคฝ่ายค้าน รวมกันมี 206 เสียง จากจำนวนสส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ในสภา 482 คน
หมายความว่า ในสภามี สส.ที่เป็นอิสระที่ลงคะแนนให้ฝ่ายค้านก็ได้ลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลก็ดีมี 63 คน 63 เสียงนี้ผันแปรอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน ผลประโยชน์ที่ว่ารวมทั้งตำแหน่งหน้าที่ อนาคตทางการเมือง ตลอดถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่ทางการเมือง เรียกว่า “กล้วย”
คนแดนไกลผู้เชี่ยวชาญ และ มีประสบการณ์ในการเหมายกเข่งเซ้งยกพรรค จึงได้แนะนำให้ผู้นำฝ่ายค้านเน้นไปบริหารจัดการกับ สส.ที่ยกมือให้ได้ ทั้งฝ่ายค้าน และ ฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และ เครือข่ายจึงให้ความสนใจคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ
แทนที่จะหาข้อมูลหลักฐานการทุจริตคอร์รัปชั่น หาข้อบกพร่องของรัฐบาลมาเป็นหลักฐานเล่นงานทางกฎหมาย และ ใช้อภิปรายในสภาฝ่ายค้านกลับไปเน้นความสนใจในการวางแผนโค่นล้มรัฐบาลกับนักการเมืองเจ้าเล่ห์เพทุบายเหล่านั้น
และทุกครั้งที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พรรคฝ่ายค้านมั่นใจใน สส.ขาใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้อครหา เชื่อว่าขาใหญ่จะเดินหน้าแจกกล้วยช่วยให้ล้มลุงตู่ได้ แต่ฝ่ายค้าน และ สส.ขาใหญ่ลืมไปว่าลุงตู่เรียนหลักสูตรเสนาธิการทหารมาก่อน
แผนการของฝ่ายค้านที่สมคบกับ สส.ขาใหญ่ จึงล้มไม่เป็นท่า และ ทำให้ขาใหญ่กลายเป็นขาพิการอยู่จนวันนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนั้น นอกจาก สส.ขาใหญ่กลายเป็นขาพิการแล้ว ฝ่ายค้านยังถูกคนแดนไกล หลุดปากพูดออกมาเรื่องเลี้ยงหมาไม่เชื่อง และ สั่งการให้หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านแก้ตัวใหม่ตอนอภิปรายงบประมาณ
หนึ่งเดือนก่อนอภิปรายงบประมาณ ฝ่ายค้าน ด้อยค่ารัฐบาลปั่นกระแสสร้างราคาว่ารัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว พรรคแกนนำฝ่ายค้านมั่นใจในคณิตศาสตร์ทางการเมือง 16+2 บ้าง 16+2 +18 บ้าง
บางคนเลยเถิดไปว่าขาใหญ่มีสมุนบริวาร ที่เตรียมการคว่ำ พ.ร.บ.งบประมาณในขั้นตอนรับหลักการถึง 40 เสียง สส.ขาใหญ่ใจถึงพึ่งได้ ก็ใช้เล่ห์เพทุบาย บินไปต่างประเทศ สร้างราคาทำให้เหมือนกับว่าไปรับงานมาจากแดนไกลมาโดยตรง
จากกระแสที่ฝ่ายค้านคิดเอง พูดเอง เออเอง จนเกิดอุปทานว่าต้องคว่ำรัฐบาลได้ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านพูดในสภาถึงสามครั้งว่า“งบประมาณแห่งความหวังของประชาชนต้องจัดขึ้นใหม่ “งบประมาณรัฐบาลเพื่อไทย”สส.ฝ่ายค้านคนต่อๆ มาก็อภิปรายด้อยค่าโจมตีลุงตู่และยกย่องคนแดนไกล
แต่พอถูก ลุงตู่ทุ่มกระสอบข้าวสารเน่าใส่ทำให้สส.ฝ่ายค้านตาย(ทางการเมือง)ไปหลายคน บรรดา สส. ที่สนับสนุนรัฐบาลก็ดี ยกมือให้ฝ่ายค้านก็ได้ ผลเลยออกมาเป็นฝ่ายรัฐบาลชนะ 278 ต่อ 194 เสียง
การพ่ายซ้ำซาก ถูกหลอกกินกล้วยไปหลายเครือ ทำให้ฝ่ายค้านถอดใจภาษามวยเรียกว่า“โยนผ้าขึ้นเวที”นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถึงกับพูดว่า
“เราไม่ได้คาดหมายมือในสภา หากคาดหมายได้ก็ไม่มาก เพราะเป็นช่วงปลายเทอม”
นายสุทิน พูดเรื่องนี้ในระหว่างแถลงข่าวว่า พรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้าโค่นล้มรัฐบาลต่อไปด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาคาดว่ามีขึ้นในเดือนกรกฎาคม นี้ เมื่อนักข่าวถามว่ามั่นใจในคะแนนเสียงแค่ไหนนายสุทิน ตอบว่า “เราไม่ได้คาดหมายมือในสภาหากคาดหมายได้ก็ไม่มาก เพราะเป็นช่วงปลายเทอม การลงคะแนนจึงคิดว่ามีทั้งขาไปและขามา วิธีการทำงานของฝ่ายค้าน คือ ไม่คิดหวังพึ่งใคร คิดว่าตัวเราเองควรยืนให้แน่นๆ และอภิปรายดีมีคุณภาพ คิดว่า สส.ก็คงเห็นด้วยกับเรา รวมถึงประชาชน”
ภาษากายอีกอย่างที่บอกได้ว่า ฝ่ายค้านโยนผ้าขึ้นเวทีแล้ว คือ การที่หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทยบังเอิญติดเชื้อโควิด ไม่สามารถเดินทางไปพบกับแฟนคลับในจังหวัดสุรินทร์ ตามที่นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าได้ ทำให้อีเวนต์เพื่อไทยเดินสายงานกร่อยไปมาก
พูดถึงเรื่องฝ่ายค้านโยนผ้าแล้วมาว่า กันเรื่องระส่ำระสายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ชนะมาอันดับสอง รองจากพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 พปชร.ได้ 119 คะแนน ขณะที่พรรคเพื่อได้ สส. 136 คน
พปชร.เสนอให้ พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากหน้าที่ผู้นำ คสช.โดยมี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคฯ มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาฯพรรค เป็นผู้จัดการวิ่งเต้นหาพรรคร่วมรัฐบาล ร.อ.ธรรมนัส เป็นขาใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลบารมีพูดตอนนั้นว่า “ผมเป็นเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาล”
เมื่อจัดการตั้งรัฐบาลผสม สี่พรรคได้ แต่ตอนตั้งรัฐบาลผสมใหม่ๆเสียงยังปริ่มน้ำ พลเอกประวิตรก็มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส เจรจากับพรรคเล็กๆ ให้มาร่วมรัฐบาล ตั้งแต่นั้นมา ร.อ.ธรรมนัส ถือว่าเป็นผู้จัดการรัฐบาลประสานงานทั้งใต้ดินบนดินแทนหัวหน้าพรรคทุกอย่าง
พปชร.ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นจนเสียงสนับสนุนรัฐบาลมั่นคงมีการเลือกซ่อมที่ไหนเมื่อร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง เชื่อขนมกินได้ว่าชนะทุกครั้ง
ในเมื่อทำให้พรรคเติบใหญ่ รัฐบาลมั่นคงขึ้นมาแค่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย มันเล็กน้อยเกินไป ว่ากันว่าอดีตเลขาฯพรรคหมายตาว่าจะอัปเกรดขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและให้หัวหน้าพรรคคู่ใจที่เลขาฯพรรค เคยพูดว่า“มั่นใจในหัวหน้าพรรค มีบารมีที่ใช้ให้คนทำงานบนดินใต้ดินได้หลายคน”
มีกระแสข่าว มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเลขาฯพรรค อยากให้หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่เลขาคู่ใจได้ขึ้นเป็น“มท.1”กระแสข่าวและข่าวลือที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นข่าวจริงหรือไม่ ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐพ้นจากหน้าที่ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสียก่อน
หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็เกิดความปั่นป่วนใน พปชร.ที่ สส.มาจากหลายพ่อพันแม่แต่ส่วนใหญ่รวมทั้งร.อ.ธรรมนัส เคยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นจะให้ผู้นำรัฐบาลซึ่งเคยผ่านโรงเรียนเสนาธิการทหารมา อดสงสัยไม่ได้ว่า คนในพรรคแกนนำรัฐบาล แอบติดต่อประสานงานกันคนแดนไกล ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นใน พปชร.
ข่าวลือที่ไม่อาจตรวจสอบได้เช่นกัน แพร่สะพัดว่าเมื่ออดีตคนของพรรคเพื่อไทยเดินเกมใต้ดินอดีต ผบ.ทบ.ก็เล่นเกมใต้ดินได้ โดยแอบส่งปัจจัยไปให้คู่แข่งพปชร.จนชนะเลือกตั้งซ่อม ทำให้คำพูดที่ว่าเลือก สส.“ต้องเลือกคนมีชาติตระกูล ต้องมีฐานะมีเงิน” จึงใช้ไม่ได้ผลในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดสงขลาและจังหวัดชุมพร
ความแตกร้าวปั่นป่วนในพปชร.ตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาลสงสัยว่า ภายในมีเกลือเป็นหนอน จนเลขาธิการพรรคต้องขอแยกตัวไปอยู่พรรคใหม่พร้อม สหายร่วมรบยี่สิบชีวิต
ความปั่นป่วนภายในพรรคแกนนำรัฐบาลหนักหนาสาหัสขึ้นทุกวันหลังจาก พปชร.ส่งผู้สมัคร สก. 50 เขตใน กทม.และได้รับเลือกตั้งเพียง 2 เขต
ในขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลเสื่อมถอยลงทุกวัน จนหลายฝ่ายเชื่อว่า เลือกตั้งครั้งต่อไปอาจไม่มี พปชร.แล้ว หรือถ้ามีก็ได้ สส.เข้าสภาน้อยเต็มที
#แต่แปลกใจไหม ในขณะที่พรรคแกนนำรัฐบาลเสื่อมถอยลงแทบล่มสลาย แต่ความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรียิ่งเพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน
สส.พปชร.รู้อยู่เต็มอกว่าวันไหนไม่มีลุงตู่ พปชร.ก็ล่มสลายถึงได้ปล่อยข่าวออกมาว่าพลเอกประยุทธ์เตรียมขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แทนพลเอกประวิตร แต่การปล่อยข่าววันนั้นถูกตีตกเมื่อพลเอกประวิตรพูดว่า “ไม่มี...ใครปล่อยข่าวก็ไปถามคนนั้น อยู่ด้วยกัน รักกัน ไม่ได้มีอะไร มาเสี้ยมให้แตกทำไม ไม่มีทางเสี้ยมให้แตกกันได้ เพราะผมอยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่นายกฯเป็นร้อยตรี”
จึงสรุปได้ว่า ในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน โยนผ้า พรรคแกนนำรัฐบาลล่มสลาย แต่พลเอกประยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้จนหมดวาระสภาชุดนี้
เลือกตั้งครั้งต่อไปค่อยว่ากันอีกที แต่คอลัมน์นี้ ให้น้ำหนักไปที่พลเอกประยุทธ์จะพูดเหมือนป๋าว่า “ผมพอแล้ว”
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี