อาถรรพ์ ศุกร์ 13 เป็นความเชื่อของฝรั่ง โดยเฉพาะชาวคริสต์ นิกาย โรมันคาทอลิก ที่เห็นว่า เลข 13 เป็นเลขแห่งความโชคร้าย เนื่องจากวันดังกล่าว เป็นวันที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย ร่วมกับสาวก 12 คน
ไทยพุทธส่วนใหญ่ที่เชื่อในโชคลางหลายล้านคนภาวนา ให้ศุกร์ที่13 นี้ เป็นวันโชคร้ายของเทวดาชั้น 14 และสมุนบริวารถูกลงทัณฑ์ ฐานใช้ช่องว่างทางกฎหมายช่วยนักโทษชาย ไม่ติดคุกตามหมายขังของศาลแม้แต่วันเดียว
ขณะท่านอ่านบทความชิ้นนี้เชื่อคนไทยหลายล้านคนรอด้วยความวิตกกังวลว่า ความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ กฎหมายระเบียบต่างๆ ของกรมราชทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์กว่าป.วิอาญามาตรา 246 (2) และคำสั่งขังของศาลหรือไม่
จากกรณีที่กรมราชทัณฑ์ย้าย น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกในความผิดคอร์รัปชั่นแต่นักโทษถูกย้ายจากเรือนจำ ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจนาน 180 วัน โดยกรมราชทัณฑ์อ้างว่า น.ช.ป่วยวิกฤต ที่เกินความสามารถ รพ.ราชทัณฑ์รักษาอภิบาลได้
การย้าย น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไปอยู่ห้องรับรองระดับ VVIP ได้สร้างความแตกแยกครั้งใหม่ในสังคมไทย เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า น.ช.ทักษิณป่วยวิกฤตจริง กลุ่มประชาชน และองค์กรอิสระ อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสอบสวนศึกษาทำรายงานสรุปว่า กรมราชทัณฑ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ปฏิบัติต่อนักโทษไม่เท่าเทียมกันโดยปฏิบัติต่อ น.ช.ทักษิณ พิเศษกว่านักโทษอื่นกว่า 300,000 คน
เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และกองทัพธรรม ปักหลักประท้วงใกล้ ทำเนียบรัฐบาลนานเกือบสองปี เรียกร้องให้กรมราชทัณฑ์ และ โรงพยาบาลตำรวจให้เปิดเผยอาการป่วยของ น.ช.ทักษิณ แต่ได้การปฏิเสธตลอดมา
คปท.ร้องเรียนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่การสอบสวนของป.ป.ช. ไม่มีความคืบหน้า เนื่องจาก รพ.ตำรวจไม่ยอมมอบเวชระเบียนให้โดยอ้างความเป็นส่วนตัวคนป่วย ในท่ามกลางความขัดแย้งของสังคมมีนักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองนำเรื่องฟ้องศาล ส่วนใหญ่ศาลยกคำร้อง จนประชาชนเกิดความรู้สึกท้อใจ
และสงสัยว่าในประเทศไทยยังมีความยุติธรรมหรือไม่ ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐีแสนล้านอยู่เหนือกฎเกณฑ์ สามารถปล้นความยุติธรรมได้
แต่เหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจคนไทยผู้รักความเป็นธรรมให้ชุ่มชื่นขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกคำร้องครั้งที่3 ของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ขอให้ศาลพิจารณาว่า กรมราชทัณฑ์ทำผิด ป.วิอาญา มาตรา 246 (2) หรือไม่ ที่ส่ง น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไปพักโทษบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนาน 180 วัน โดยไม่ขออนุญาต/แจ้งให้ศาลรับทราบ
ศาลพิจารณาแล้วว่า นายชาญชัย มิใช่ผู้เสียหายในกรณีนี้ ศาลจึงตีตกคำร้องของนายชาญชัย อย่างไรก็ตามศาลแถลงต่อว่า “ความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร”
ตั้งแต่ศาลฯรับคำร้องนายชาญชัยไว้ไต่สวนเองด้วยแถลงว่า “ความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ฯลฯ และศาลมีหมายเรียกให้โจทก์คืออัยการและป.ป.ช.กับจำเลย(นายทักษิณ) กรมราชทัณฑ์และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ขึ้นรับการไต่สวนต่อศาลวันที่ 13 มิถุนายน เวลา 09.30 น.
คดีความชั้น 14 เป็นที่สนใจผู้คนหลายฝ่ายในความรู้สึกและความเห็นหลากหลาย ฝ่ายผู้ถูกร้องซึ่งมีกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ตลอดถึงมือกฎหมายรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล มั่นใจว่าจำเลย ไม่มีความผิด เนื่องจากปฏิบัติตามกฎหมายราชทัณฑ์และจรรยาแพทย์ทุกประการ
ส่วนนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กับคณะคปท.และผู้รู้ทางกฎหมายตลอดถึงประชาชนทั่วไป เชื่อว่าความยุติธรรมเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยแล้ว หลายฝ่ายเชื่อว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าปล้นความยุติธรรมต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
และฝ่ายผู้รักความเป็นธรรม ก็มั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อแพทยสภา ซึ่งใช้เวลาสอบสวนหลายเดือน ในประเด็นแพทย์โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจปฏิบัติจริยธรรม
และจรรยาบรรณแพทย์หรือไม่ ในกรณีรักษานักโทษชั้น 14 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม แพทยสภาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า “มีภาวะ (ป่วย) วิกฤตจริง”
แพทย์จึงมีมติลงโทษตักเตือนแพทย์โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ 1 คน ฐานไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานเวชกรรมแพทย์ออกใบส่งตัวล่วงหน้าและสั่งพักใบอนุญาตเวชกรรมแพทย์ รพ.ตำรวจ 2 คน ในความผิดให้ข้อมูลข่าวสารไม่ตรงกับความจริง
มติแพทยสภา ทำให้ผู้ร้องมั่นใจว่า เป็นหลักฐานสำคัญให้ศาลลงโทษผู้ถูกร้องได้ ในเวลาเดียวกับมติแพทย์สร้างความตกตะลึงให้จำเลยจนกระทรวงยุติธรรมถึงกับจัดฉากให้นายทักษิณออกมาโจมตีแพทยสภาว่า “ไม่มีจริยธรรม” ที่เขาอ้างว่ามีไลน์หลุด “แพทย์บางคนด่าผม และ แพทย์คนหนึ่ง ในกลุ่มไลน์ ตอบว่า...Yes!”
นายทักษิณตำหนิว่า “แพทยสภา ต้องมีจริยธรรม นี่อะไรแพทยสภา ไม่มีจริยธรรมเสียเอง..” นายทักษิณกล่าวแล้วหันทางนายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขราวบอกเป็นนัยให้วีโต้แพทยสภาและก็เป็นตามคาดหมาย นายสมศักดิ์วีโต้มติแพทยสภาทำให้ไม่สามารถลงโทษแพทย์ได้หากแพทยสภาไม่ลงมติยืนยันมติที่ถูกวีโต้
แพทย์มีกำหนดลงมติใหม่วันที่ 12 มิถุนายน บทความชิ้นนี้ขึ้นแท่นพิมพ์ก่อนมติแพทย์ครั้งที่สองออกมา แต่มติแพทยสภาครั้งที่สอง ออกมาอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า น.ช.ทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อศาลอาจนำมติแพทย์ขึ้นประกอบการพิจารณา และมติแพทย์อาจเป็นหลักฐานสำคัญทำตุลาการศาลฯตัดสินผู้ถูกร้องขัดคำสั่งขังของศาลโดยการอ้างว่านักโทษป่วยวิกฤต
มติแพทยสภาอาจเพิ่มความวิตกถึงขั้นช็อกที่นักโทษเทวดา อาจไม่กล้าไปให้การต่อศาลในวันนี้เนื่องจากนิสัยถาวรของจำเลยคดีนี้เป็นคนปากกล้าขาสั่น มีประวัติหนีศาลนาน 17 ปีมาแล้ว จึงคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจำเลยอาจไม่ไปรับการไต่สวนของศาล และอาจการหนีก็ได้ เพราะว่าคดีที่ศาลรับไต่สวนเองน่ากลัวกว่าคดีที่อัยการฟ้องแล้วจำเลยให้ทนายแก้ต่างให้อาจมีช่องทางให้จำเลยใช้ปัจจัยหลุดพ้นคดีได้
ดังที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อดีต สส.ปชป.หลายสมัยนักกฎหมายระดับต้นๆ ของไทย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า #ช็อก แล้วก็หนาว กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผมคิดว่า คุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรี คงต้อง “ช็อก” อย่าว่าคุณทักษิณช็อกเลย ผมเองก็ “ช็อกเล็กน้อย” ด้วยเช่นกัน การที่ศาลใช้อำนาจรับไต่สวนเอง ถามว่า เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นไหม ตอบว่า เคยเกิดขึ้น
เมื่อปี 2553 ตอนที่มีการชุมนุมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ตอนนั้น นายเจ๋ง ดอกจิก และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้มีพฤติการณ์ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยปราศรัย ระบุชื่อตุลาการ ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการ และให้คนเสื้อแดงเดินทางไปที่บ้านของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ผมจึงไปยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาถอนประกัน ตอนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะว่าทำได้ไหม แต่ศาลก็รับคำร้องไว้โดยให้เหตุผลว่า “ความปรากฏต่อศาลจากคำร้องของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ก็สั่งไต่สวน และมีคำสั่งถอนประกัน เจ๋ง ดอกจิก และ ก่อแก้ว พิกุลทอง บุคคลทั้งสองก็เข้าคุกไป
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ 15 ปีแล้ว เรื่องแบบนี้ก็เวียนมาอีกครั้งหนึ่งที่เขียนมาเพื่ออธิบายว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยมี ศาลเคยรับเรื่องแบบนี้ไว้ไต่สวนมาก่อนแล้ว ด้วยอำนาจของศาลเอง ตอนนี้ ผมหายช็อกแล้วคุณทักษิณ ยังช็อกอยู่อีกหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่น่าจะเริ่มหนาวแล้ว..”
อย่างไรก็ตาม หากทักษิณไม่หนาวดังที่นายนิพิฏฐ์กล่าว และนายทักษิณแสดงความกล้าหาญไปรับการไต่สวนในศาลและยอมรับคำตัดสิน วันที่ 13 มิถุนายน กลายเป็นวันตัดสิน ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ นักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เศรษฐีแสนล้านยอมรับคำตัดสินของศาล เดินเข้าคุกอย่างลูกผู้ชายอดีตนายตำรวจ
ภาวนาให้สิ่งที่กล่าวมา อย่าได้เป็นเพียงฝันกลางวันเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่า แม้วคือแม้วเผ่นเสียแล้ว หากเป็นเช่นนั้นแผ่นดินไทยไม่มีที่ยืนให้จำเลยหนีศาลวันนี้ไปตลอดกาล และนายกรัฐมนตรีฝึกงานกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะล่มสลายในวัน Judgment Day
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี