วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเสนอมุมมองจาก ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเล่าถึงข้อค้นพบจากการทำงานของ สสส. เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ ในงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองสู่การรู้รับปรับตัว ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านพิมาน ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม เมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา
ประกาศิต กล่าวว่า หากต้องการให้สุขภาพหรือคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนหรือสังคมดีขึ้น มีปัจจัย 2 ด้านที่ต้องปรับเปลี่ยน 1.พฤติกรรมส่วนบุคคล หากเจ้าตัวไม่อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คนอื่นเข้าไปช่วยก็ทำได้เพียงพยุงไว้ ดังนั้น ต้องสืบค้นไปให้ถึงต้นน้ำว่าทำอย่างไรจะทำให้อยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะหากเกิดความต้องการเปลี่ยนแปลงขึ้น อยากเป็นคนดีขึ้นอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คนคนนั้นก็จะแสวงหาหนทางต่อไปได้เองโดยที่ไม่ต้องรอพึ่งพาความช่วยเหลือจากใครอีก
กับ 2.สภาพแวดล้อมหรือสังคมโดยรอบ แม้ปัจเจกบุคคลจะอยากเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่เอื้ออำนวยก็ยากที่จะเปลี่ยนได้เช่น อยากเลิกเล่นการพนันแต่รอบบ้านเต็มไปด้วยบ่อนการพนัน อยากเลิกเหล้าแต่รอบบ้านเต็มไปด้วยร้านเหล้าแถมเพื่อนๆ ก็ชอบชวนไปกินเหล้าเป็นประจำ หากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไม่ได้ ท้ายที่สุดคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงตนเองก็จะมีเพียง 2 ทางเลือก คืออยู่ที่เดิม
สังคมเดิมๆ แบบไม่มีเพื่อน หรือไม่ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นในสังคมอื่น
“ถ้าคนอยากเปลี่ยนชุมชนต้องเปลี่ยนด้วย หมายถึงชุมชนต้องมีส่วนร่วม เราอาจไม่ต้องทำอะไรแบบขาวกับดำ ห้ามขาย ห้ามเปิด ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น อันนั้นก็เกินไป แต่เราหาจุดเหมาะสม ข้อตกลงในชุมชนเราอย่างไร อย่างเช่นช่วงเข้าพรรษาขอได้ไหม หรือเรื่องของอุบัติเหตุ ขอได้ไหมเวลาที่เด็กออกไปข้างนอก มอเตอร์ไซค์ เราเจอเด็กที่ขับรถเร็วหรือว่าไม่ใส่หมวกกันน็อก เราเตือนเขาได้ไหม อันนั้นคือเรื่องของการปรับสังคม” ประกาศิต กล่าว
รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวต่อไปว่า ในการปรับพฤติกรรมนั้น “การปลูกฝังตั้งแต่เด็กดีที่สุด” เพราะหากปรับพฤติกรรมเด็กได้ เมื่อเด็กโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่แล้วมีศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น ก็จะลงมือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ไม่เหมาะสมให้ดีขึ้นหรือพัฒนายิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น สิ่งใดที่ผู้ใหญ่รุ่นปัจจุบันทำได้ก็ทำไป แต่สิ่งที่ยังทำไม่ได้ในวันนี้คนรุ่นหลังก็จะสานต่อเองในอนาคต
ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อมย่อมต้องมีอุปสรรค แต่ก็มีตัวช่วยหรือเครือข่ายหลายภาคส่วน ได้แก่ 1.นโยบายสาธารณะ หรือนโยบายจากผู้มีอำนาจ ต้องออกข้อกำหนดบางอย่างตามอำนาจหน้าที่ที่มี ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้จะไปเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในชุมชน อาทิ ข้อกำหนดงดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรืองดเล่นการพนันในงานพิธีกรรมทางศาสนาในชุมชน เป็นต้น
2.เครือข่ายในพื้นที่ ในชุมชนหรือสังคมหนึ่งจะมีกลุ่มหรือเครือข่ายต่างๆ เช่น ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมเด็กและเยาวชน กลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งต้องมีความเข้มแข็ง
เพราะนโยบายเป็นเรื่องของผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจ เมื่อหมดวาระหรือหมดอำนาจนโยบายก็อาจเปลี่ยนไปได้ 3.ให้ความรู้กับคน เช่น การฝึกอบรม ที่ทำได้ทั้งแบบเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม อาทิ สร้างนักบริหาร นักจัดการข้อมูล นักสื่อสาร ทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง และเมื่อชุมชนเข้มแข็งนโยบายสาธารณะที่ออกมาก็จะเป็นแบบมีส่วนร่วม
“การออกนโยบายสาธารณะ มันไม่ใช่ว่าเรามีอำนาจแล้วก็ออกมา บางอันมันก็อาจไม่ได้รับการร่วมมือหรือมันอาจจะขยายไปไม่ได้ผลเท่าไร แต่ถ้าเราใช้วงจรแบบนี้ เราก็จะมีการมีส่วนร่วมของคนแล้วก็องค์กรต่างๆ เสริมเข้ามา อันนี้ก็จะช่วยให้การทำงานของเรามีการสานพลังมากขึ้น” ประกาศิต ระบุ
และ 4.องค์กรพันธมิตร เช่น ในระดับท้องถิ่นจะมีทั้ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ฯลฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านระบบบริการ ที่สามารถช่วยให้คนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ อาทิ คนติดเหล้า-ติดบุหรี่ วันหนึ่งอยากเลิกดื่ม-เลิกสูบ รพ.สต. มีเครื่องมือใดพอสนับสนุนได้บ้างหรือไม่ หรือคนติดยาเสพติด วันหนึ่งอยากเลิกเสพ หน่วยงานใดจะมีกลไกช่วยเหลือประสานส่งต่ออย่างไรบ้างเพื่อเข้ากระบวนการบำบัดรักษา
รองผู้จัดการกองทุน สสส. ยังยกตัวอย่างด้วยว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานให้สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน(สำนัก 3) เคยอยู่ที่ สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ซึ่งทำงานกับกลุ่มเปราะบาง โดย “คนพิการ” เป็นหนึ่งในประชากรกลุ่มดังกล่าว ในเวลานั้นสนใจเรื่อง “การหาช่องทางประกอบอาชีพ” ให้กับคนพิการ เริ่มจากการวิเคราะห์ทั้งทัศนคติของคนพิการเอง และทัศนคติของคนรอบข้าง
อาทิ ต้องมีการปรับทัศนคติคนพิการก่อน เนื่องจากก่อนหน้านั้นคนพิการอาจเผชิญกับการถูกปฏิเสธจนรู้สึกท้อแท้หดหู่ใจ กระทั่งพร้อมจะกลับไปเผชิญโลกอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ก็ต้องสร้างความเข้าใจกับสถานประกอบการว่าจะทำงานร่วมกับคนพิการอย่างไรเช่น เคยมีกรณีผู้พิการทางการได้ยินแล้วใช้วิธีการทำบัตรคำไว้ใช้สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานในกรณีฉุกเฉิน หรือปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีมากมายซึ่งก็สามารถนำมาช่วยได้
ต่อมาต้องมีชุดความรู้ ว่าอาชีพใดบ้างที่คนพิการสามารถทำได้ และมีเมื่อมีชุดความรู้แล้วก็ต้องสร้างทักษะผ่านการฝึกอบรม ซึ่งต้องประสานกับสถาบันการศึกษาที่รับฝึกอบรมอาชีพคนพิการ ให้จัดทำหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ส่วนนโยบายสาธารณะ มีเรื่องข้อกำหนดการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการอยู่แล้ว จึงอยู่ที่การปรับองค์ประกอบอื่นๆ ที่เหลือข้างต้นให้เอื้อต่อโอกาสการมีงานทำของคนพิการ
“ผมทำโครงการนี้ร่วมกับเอกชนด้วย สามารถจ้างงานคนพิการได้ 7,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ โดยที่ทางภาคเอกชนเสนอเป็นโควตามาให้เลย แล้วเราก็มีองค์กรไปช่วยในการ Matching (จับคู่) เตรียมความพร้อมแล้วก็ส่งไปที่สถานประกอบการ” ประกาศิต กล่าวทิ้งท้าย

'อนุดิษฐ์' ติง ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกได้ แต่เหมาะสมเป็นประโยชน์กับ ปชช. หรือไม่
กธ.จ่อเปิดตัวผู้สมัคร สส.ต้นเดือน ธ.ค. อุบส่งแคนดิเดตนายกฯกี่คน ไม่หวั่นกระแสโจมตีพรรค
สื่อกัมพูชาจวกยับ! คณะAOTได้ยินเสียงยิงคือของจริง ซัดไทยกำลังมีปัญหากับทั้งอาเซียน
‘รมว.คลัง’ ชี้ไทยไม่พร้อมขึ้น VAT ปี 68-69 เผยเป้าปรับเป็น 8.5% ปี71
ประชาชนทั่วสารทิศเข้ากราบพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมแล้วกว่า 1แสนคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี