ดูเหมือนความเร่งรีบของฝ่ายค้านที่จะเร่งเกมเขย่ารัฐบาลจะเดินเร็วจนพลาดหรือไม่ จนเกิดเหตุกรณี รมต.พลังประชารัฐโวยหลังโดนเพิ่มชื่อรมต.ที่ถูกอภิปรายภายหลังจากเอกสารรอบแรกที่ให้เซ็นต์ชื่อไม่ปรากฏแต่มาเพิ่มในภายหลัง หากเรื่องนี้เป็นความจริงอาจเกิดเพราะเร่งรีบตัดสินใจตอนแรกในขณะที่ยังตกลงกันไม่สะเด็ดน้ำว่าจะอภิปรายกี่คนกันแน่ จริง ๆ เรื่องนี้ก็พบว่าการแถลงสองครั้งของฝ่ายค้านที่ห่างกัน 1 สัปดาห์ชื่อก็เปลี่ยนมาแล้วก่อนหน้า เหตุเพราะหลังพ้นอภิปรายงบประมาณวาระแรกเพียงสัปดาห์เดียวก็ประกาศจะอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อในทันทีเพื่อหวังผลขยายผลทางการเมือง หากแต่ความเร่งรีบนี้จนสะท้อนความไม่พร้อมของการตระเตรียมข้อมูลหรือข้อมูลพร้อมแต่อาจจะยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะวางเกมอย่างไรเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายนี้อาจจะต้องวางเกมเล็งผลไปถึงการเขย่าเก้าอี้แม่ทัพสำหรับการเลือกตั้งใหญ่เป็นหลักด้วยหรือไม่ จึงต้องเกิดการปรับแผนแบบนี้
ดูเหมือนโค้งสุดท้ายในสภาสมัยนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังเร่งปิดเกมในสภาและคุมเกมการเมืองนอกสภา ให้เหนือทั้งคู่แข่ง และพันธมิตรก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าใครจะยอมกันได้ง่ายๆ
วิถีแห่งการเมือง ไม่มีอะไรแน่นอน มิตรในวันนี้ก็อาจเป็นศัตรูในวันหน้า คู่แข่งในวันนี้ก็อาจเป็นมิตรที่แสนดีในอนาคตเช่นกัน การย้ายข้ามค่ายจึงยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกยุค
ปรากฏการณ์งูเห่าย้ายข้ามค่ายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คงจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว เพราะศึกระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย นั่นจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ใครกันแน่ที่จะเป็นเจ้าของบ้านที่อบอุ่นน่าอยู่ตัวจริง ในช่วงเลือกตั้งนโยบายและยุทธศาสตร์เลือกตั้งของพรรคการเมืองสำคัญต่อการมัดใจประชาชน แต่ตอนนี้การมัดใจสส. ที่อยู่ในกระดานอยู่แล้วสำคัญกว่า?
ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง แม้ว่ากติกาบัตรเลือกตั้งสองใบจะดูสร้างความกังวลให้กับพรรคเล็กพรรคน้อยเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่ได้แปลว่ากติกาดังกล่าว จะสร้างความสบายอกสบายใจพรรคการเมืองขนาดใหญ่
อย่างในกรณีของพรรคเพื่อไทยที่แม้จะถูกยกมาเป็นเต็งหนึ่ง จากปัจจัยบัตรเลือกตั้งสองใบที่เพื่อไทย ถือว่ามีความเจนสนามในระดับสูง อีกทั้งมีการดันลูกสาวของอดีตนายกทักษิณให้เข้ามารับบทหัวหน้าครอบครัวพร้อมประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์แบบตะโกน และดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ดูจะตั้งความหวังเป็นพิเศษในรอบนี้
แต่การเดิมพันในครั้งนี้อาจได้ไม่คุ้มเสียหากสภาฯ ของพลเอกประยุทธ์ไม่สามารถไปต่อได้ ก่อนที่กฎหมายเลือกตั้งยังไม่บริบูรณ์ และอาจนำมาซึ่งการตีความเรื่องการใช้บัตรเลือกตั้งอีกวุ่นวายจากรัฐธรรมนูญที่แก้ไปแล้วแต่กฎหมายลูกยังเป็นฉบับเดิม จะเดินต่อยังไง จึงไม่แปลกที่สภาวการณ์แบบนี้ยังไม่มีฝ่ายใดเลยที่จะดันทุรังให้ถึงจุดยุบสภาก่อนจบกฎหมายลูกและอาจกลายเป็นแต้มต่อพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐที่กุมจุดอ่อนในเรื่องนี้?การเดินเกมการเมืองจึงถูกลากไปที่ประเด็นอื่นก่อน
แม้ภาพลักษณ์ภายนอก พรรคพลังประชารัฐจะดูเป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทย แต่หากวัดกันที่โจทย์ตอนนี้ที่ต้องกุมหัวสส.ในกระดานก่อนแล้วนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าคู่แข่งเบอร์1ที่แท้จริงในสายตาของพรรคเพื่อไทย อาจไม่มีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ เพราะในการลงพื้นที่ที่จังหวัดศรีสะเกษในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกในภาคอีสานหลังจากที่พรรคเพื่อไทย ได้เผชิญกับเหตุการณ์งูเห่ากลางสภาฯ
ซึ่งบรรยากาศภายในงานก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงของผู้ที่มาร่วมงาน และยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นไปอีกเมื่อพบ นายพานทองแท้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตนายกฯนายณัฐวุฒิในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย และนางสาวแพทองธารในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เดินทางไปร่วมงานด้วย และอย่าลืมว่าทั้งสามคนไม่ใช่สส.ในสภาปัจจุบัน แต่กลับกำลังขับเคลื่อนบทบาทการเมืองนอกสภาในฐานะ ครอบครัวเพื่อไทย
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ตั้งใจและไตร่ตรองมาก่อนหรือไม่? เพราะการลงพื้นที่ถูกจัดขึ้นภายใต้ชื่องานว่า ครอบครัวเพื่อไทยไปศรีสะเกษ ไล่หนู ตีงูเห่า ซึ่งการตีงูในที่นี้ อาจสื่อความหมายไปถึงงูเห่าของพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งแผลงฤทธิ์ในสภาฯไปหมาดๆ แต่อะไรคือหนูที่พรรคเพื่อไทยต้องการไล่ออกจากพื้นที่กันแน่ ?
บอกเลยว่า งานนี้คงไม่ธรรมดา เพราะในเวลาที่ไล่เลี่ยกับการลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ก็พบความเคลื่อนไหวหนึ่งที่น่าสนใจ เสี่ยหนู-อนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีการโพสต์ข้อความ ยินดียิ่งแล้ว แขกแก้วมาเยือน พร้อมกับข้อความว่า ไม่มีหนู ไม่มีงู มีแต่คนบ้านเราที่พัฒนา
อย่างไรก็ตามการแลกหมัดของทั้งสองค่ายก็น่าจะเป็นการประกาศทางอ้อมแล้วว่า ใครกันแน่คือคู่แข่งขันตัวจริงของกันและกันในพื้นที่ภาคอีสานที่เป็นภาคที่มีสส.มากที่สุดของประเทศ ?
เอาเข้าจริงการลงพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษ มีความหมายโดยนัยแฝงอยู่ เพราะนอกจากจะเป็นศึกแข่งขันแย่งชิงคะแนนในพื้นที่แล้ว สำหรับพรรคภูมิใจไทย การนำร่องในการแต้มสีน้ำเงินทับสีแดงถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เพราะพื้นที่แต่เดิมนั้น เป็นของพรรคเพื่อไทยโดยเบ็ดเสร็จมาตลอด แต่หากพรรคภูมิใจไทยสามารถตีฐานที่มั่นในจังหวัดที่พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าของได้มาอย่างยาวนาน ก็อาจเป็นการเปิดเกมแลกหมัดที่ค่อนข้างคุ้มค่าและนำร่องไปสู่การปูพื้นที่ในภาคอีสานให้เป็นของพรรคภูมิใจไทยไม่ยากเย็นนัก
แต่งานนี้ก็คงไม่ใช่งานที่ง่ายดายนักของภูมิใจไทย เพราะเจ้าถิ่นอีสานอย่างเพื่อไทย ที่ได้ตั้งเป้าหมายชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ซึ่งด้วยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น หากจะเสียฐานที่มั่นในสนามภาคอีสานย่อย ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
แม้จะบอกว่าในการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งของเพื่อไทยก็ย้ายข้ามห้วยไปลงภูมิใจไทยไม่น้อยแต่สุดท้ายพรรคเพื่อไทยจะมีชัยเหนือพรรคภูมิใจไทยในหลายพื้นที่ที่เสียตัวผู้สมัครเดิมที่ย้ายค่ายไปนั่นคือเพื่อไทยดึงคะแนนกลับมาได้จำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาลนี้ก็มีข่าวสส.เพื่อไทยอาจมีแอบปันใจเตรียมไปซบอกภูมิใจไทยอีกชุด จนต้องมีการใช้ยาห้ามเลือด นั่นคือแคมเปญ ชวนเสื้อแดงกลับบ้าน เพื่อหวังห้ามเลือดไม่ให้ไหลออก และให้เลือดที่เคยไหลออกให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนในพรรคและฐานแฟนคลับว่า จะสามารถกลับมายิ่งใหญ่แบบที่เคยเป็นในอดีตได้ แม้จะยุทธศาสตร์ที่ดีแต่ก็ต้องยอมรับว่าผลที่ออกมา ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้เท่าไหร่
การแก้เกมของพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลให้สถานการณ์ของพรรคที่เป็นอยู่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ พรรคเพื่อไทยก็ได้สูญเสียเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า และคงไม่มีอะไรน่าเจ็บใจเท่าเสียเลือดให้กับคนที่เป็นทั้งมิตรและคู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญ ที่ต้องฟาดฟันกันโดยตรงบนพื้นที่ยุทธศาสตร์
อย่างไรก็ตามเมื่อเลือดที่เสียไปยากที่จะขอให้หวนคืนจึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยจะลงพื้นที่ เร่งเปิดตัวผู้สมัคร สส.จังหวัดศรีสะเกษ เซตใหม่ ทั้งที่ฤกษ์การเลือกตั้งยังไม่มีกำหนด
แต่ในทางกลับกันพรรคภูมิใจไทย กลับไม่ได้มีแนวคิดเดียวกัน เมื่อการดึงดูด สส. จากพรรคการเมืองคู่แข่งเป็นการลดทอนความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ลง แต่ในขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยก็มีการปรับโครงสร้างพรรคที่แกร่งขึ้น และที่สำคัญการเดินเข้ามาร่วมงานของสส.ต่างพรรค ที่ตั้งท่าเดินพาเหรดมาเข้าพรรคของภูมิใจไทยในครั้งนี้ ก็เป็นสัญญาณที่ย้ำเตือนว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนจากพรรคการเมืองที่เข้มแข็งมากน้อยเพียงใดก็ตาม พรรคภูมิใจไทยเองก็มีศักยภาพที่จะดูแล โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่มีภาพที่เหนือกว่าอย่างพรรคเพื่อไทย ถึงกระนั้นการเดินเกมของพรรคภูมิใจไทย วิธีนี้จากคู่แข่งก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง
แม้กติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ จะเป็นการสร้างความได้เปรียบให้กับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษที่เพียงพอต่อการชนะแบบแลนด์สไลด์ โจทย์ของพรรคเพื่อไทยที่ต้องเดินต่อจึงไม่ได้มีแค่รักษาที่นั่งภาคอีสานเท่านั้น
กลยุทธ์ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย มักจะมีรูปแบบที่ยืดหยุ่นและผันเปลี่ยนได้ตามกติกา เพราะหากย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่กติกาบัตรเลือกตั้งเป็นการแข่งขันกันในรูปแบบของบัตรใบเดียว พรรคเพื่อไทยเองก็ดูจะมีรูปแบบการเดินเกมที่สอดรับกับสถานการณ์ เพราะคอการเมืองก็ต่างพากันคาดการณ์ว่า พรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกมองว่าแตกหน่อจากพรรคเพื่อไทย เพื่อปรับตัวให้เข้ากับกติกาเลือกตั้งครั้งนั้นหรือไม่
แต่เมื่อในการเลือกตั้งครั้งนี้ กติกาได้ถูกสรุปมาในระดับหนึ่งแล้วว่า บัตรสองใบจะถูกหยิบยกนำมาใช้ในสนามการประลองนี้ ซึ่งจะส่งผลไปถึงสัดส่วนการคำนวณบัญชีรายชื่อที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องทำเป็นอันดับแรกคือ การทวงคืนฐานคะแนนเสียงที่เคยมีใจให้พรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งคือการเทไปยังพรรคอนาคตใหม่ หรือก้าวไกลในครั้งที่ผ่านมากลับมา
อีกทั้งพรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ขอเข้ามาเป็นหนึ่งในทางเลือกใหม่ของประชาชน กลับถูกมองว่าเป็นฐานเดียวกันกับเพื่อไทยมาก่อนทั้งนั้น จึงอาจเป็นการตัดคะแนนเพื่อไทยไปอีกไม่น้อย
คะแนนที่ต้องถูกตัดหายตามทางอีกมากนี้จึงอาจเป็นอุปสรรคที่จะขวางทางแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นหากจะต้องการชนะในรูปแบบแลนด์สไลด์ พรรคเพื่อไทยจึงอาจเล็งเป้าเปิดฐานะคะแนนใหม่ๆ เพิ่มจากทุกทิศทุกทางเพิ่มขึ้นอีก
ภายหลังจากที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้จบลงด้วยการที่นายชัชชาติสามารถยึดครองหัวใจคนกรุงเทพฯ และก้าวเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ คนใหม่ล่าสุดได้ ก็มีกระแสเปรียบเทียบผู้นำมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งการเปรียบเทียบเรื่องของการทำงาน รวมถึงการเปรียบเทียบลักษณะของภาวะผู้นำที่เข้าถึงประชาชน ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การเปรียบเทียบดังกล่าวจะทำให้แสงสปอตไลท์ฉายมาที่นายชัชชาติเต็มๆ แต่จะฉาดแสงไปถึงพรรคเพื่อไทยมากน้อยเพียงใดก็คงต้องดูกันต่อ เพราะอย่าลืมว่าคะแนนของนายชัชชาติไม่ได้สอดคล้องกับคะแนนสก.ของเพื่อไทยเสียทีเดียว และท่าทีของนายชัชชาติที่ดูประนีประนอมเกินกว่าจะฟันคะแนนเสียงส่งมาให้ใครอย่างชัดเจน
และก็คงต้องรอดูด้วยว่า การก่อกำเนิดขึ้นของครอบครัวเพื่อไทย จะสามารถสร้างความแปลกใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ได้หรือไม่ ? โดยเฉพาะกับการตั้งเป้าคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ เพราะหากวัดแค่การเดินเกมในตอนนี้ก็คงต้องพูดตามตรงว่า ครอบครัวเพื่อไทย ก็ไม่ได้สร้างสิ่งแปลกใหม่ในทางการเมืองเท่าไหร่นัก เว้นแต่ใช้คำว่า ครอบครัว เพื่อให้ฐานคะแนนเสียงรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เฉพาะเพียงเรื่องภายในก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเลือดไหลให้หยุดลงได้
เพราะในตอนนี้หากไม่นับนายชัชชาติที่มีความสัมพันธ์ในอดีตที่แน่นแฟ้นกับพรรคเพื่อไทยแล้ว ต้องยอมรับตามตรงว่าพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากการชูบุตรสาวอดีตนายกฯที่เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้นำครอบครัวเพื่อไทย แต่ก็คงไม่พอที่จะแบกรับทุกความหวังและทุกภารกิจได้หมดคนเดียว เพราะตัวของนางสาวแพทองธารเอง ก็อาจถูกมองว่ายังไม่ได้มีประสบการณ์ทางการเมืองที่มากมายนัก จึงอาจจำเป็นต้องปรับแผนที่จะชูใครขึ้นมาเสริมทัพหรือไม่?
และอันที่จริงความพร้อมของพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ ก็ดูจะยังคงครึ่งๆ กลางๆ เพราะในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ได้ทยอยกันเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ทางฝั่งพรรคเพื่อไทยเองก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังไม่ได้ข้อสรุป ว่าแคนดิเดตนายกฯจะเป็นใคร หัวหน้าพรรคหรือหัวหน้าครอบครัว ? หรืออาจได้ข้อสรุปแล้ว แต่การเปิดเผยในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม?
อย่างไรก็ตามหากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป แลนด์สไลด์อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด และก็อาจมีความเป็นไปได้ที่พรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การคุมทีมของพลเอกประวิตร อาจจะจับมือพรรคภูมิใจไทย ให้ลุยพื้นที่อีสานอย่างเต็มสูบมากขึ้น และหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยอาจเป็นม้าตีนปลายที่เข้าวินเหนือม้าตัวเต็งประจำรายการในภาคอีสานหรือไม่?หรืออย่างน้อยก็อาจมีผลถึงขั้นตัดกำลังให้ต้องเหนื่อยเพียงเพื่อรักษาฐานที่มั่นเดิมในอีสานไว้ให้ได้เท่าเดิม?
“ผู้ที่หยามเหยียดตนเอง มักจงใจเสแสร้งเป็นเย่อหยิ่งลำพอง”
โกวเล้ง จาก ดาบมรกต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี