ก็คงจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป การดำเนินชีวิตแบบปกติของประชาชนชาวไทยจะกลับคืนมา เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาก่อนหลังจากที่ประเทศไทยของเรา ต้องเผชิญกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โคโรนา 2019 หรือที่เรียกกันว่าโรคโควิด-19 มาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีครึ่ง
คงจะพอจำกันได้ว่า เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังจากที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นี้ โดยเริ่มต้นที่มณฑลอู่ฮั่นของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งต่อมาโรคดังกล่าวได้ระบาดแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในเกือบทุกประเทศทั่วโลกโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น รวมทั้งในประเทศไทยซึ่งผู้ที่ติดเชื้อรายแรกเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากนั้นโรคดังกล่าวก็ระบาดอย่างรวดเร็ว เริ่มจากในกรุงเทพมหานครแล้วกระจายในไปจังหวัดปริมณฑลก่อนที่จะแพร่ระบาดไปทั่วทั้งประเทศ โดยเชื้อที่ระบาดครั้งแรกถูกเรียกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่น แต่ตอนหลังก็เรียกกันว่าเป็นสายพันธุ์อัลฟ่า ซึ่งต่อมาก็มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์อื่นๆ แต่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดปัญหาที่ทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตในระยะแรกๆเป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย และก็กระจายไปทุกแห่งทั่วโลก
เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคนี้ก็ย่อมมีการค้นคว้าวิจัย ในการพัฒนาวัคซีนที่จะป้องกันการติดเชื้อดังกล่าว และในที่สุดก็มีวัคซีนออกมาจนถึงขณะนี้4 ชนิด ชนิดแรกคือ วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายของไวรัส ที่รู้จักกันดีคือ ซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดที่ 2คือวัคซีนที่เรียกกันว่าเป็นไวรัสแวกเตอร์ ได้แก่แอสตราเซเนกา วัคซีนชนิดที่ 3 คือวัคซีนที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอ ได้แก่ ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ส่วนวัคซีนอีกชนิดหนึ่งเป็นโปรตีนเบส ได้แก่ โนวาแวกซ์
วัคซีนชนิดแรกที่ถูกนำมาใช้ในประเทศไทยคือ ซิโนแวค ชนิดต่อมาคือวัคซีนแอสตราเซเนกา ตามมาด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ภาครัฐได้จัดหาเข้ามา และมีวัคซีนอีก 2 ตัวซึ่งภาคเอกชนและองค์กรบางแห่งในประเทศไทยเป็นผู้จัดหา คือวัคซีนซิโนฟาร์มและวัคซีนโมเดอร์นา ซึ่งในระยะแรกๆ ของการจัดฉีดวัคซีนนั้น มีปัญหาในเรื่องจำนวนวัคซีนยังไม่เพียงพอจึงทำให้จำนวนของประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนยังมีไม่มากนัก และการกระจายวัคซีนไปในกลุ่มต่างๆ ยังทำได้ไม่ค่อยดี จึงมีการเน้นให้บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีน ตามมาด้วยประชากรกลุ่มเสี่ยงซึ่ง ได้แก่ ผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า 608 ซึ่งได้แก่ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค รวมทั้งสตรีมีครรภ์ด้วย แต่ภายหลังเมื่อรัฐบาลจัดหาวัคซีนได้มากขึ้นจึงได้เริ่มมีการฉีดให้กับกลุ่มประชาชนทั่วไป รวมทั้งขยายการฉีดให้กับกลุ่มเยาวชนอายุ 12-17 ปี แล้วต่อมาก็ได้ฉีดให้กับเยาวชนอายุตั้งแต่ 5-11 ปีด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการฉีดวัคซีนคือการออกประกาศใช้มาตรการต่างๆ ซึ่งทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนต้องเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในเรื่องของการปิดร้านอาหาร สถานบันเทิงประเภทผับบาร์เนื่องจากเป็นสถานที่มีผู้คนเป็นจำนวนมากรวมตัวกันการจำกัดเวลาเปิด-ปิดของศูนย์การค้า การจำกัดการออกนอกบ้านในยามค่ำคืนในระยะต้นๆ ที่มีการระบาดรุนแรง การงดกิจกรรม ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก และการแข่งขันกีฬาต่างๆ เป็นต้น
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่คือ การกำหนดให้ประชาชนทุกคน เมื่อออกนอกบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อที่ออกมาทางจมูกและปาก การกำหนดระยะห่างระหว่างผู้คนในสถานที่ต่างๆ ไม่ให้เป็นกลุ่มก้อน โดยจะต้องมีระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร การล้างมือให้บ่อยครั้งโดยใช้แอลกอฮอล์ 75% ซึ่งฆ่าเชื้อโรคได้ ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนอย่างดียิ่ง เพราะต่างก็ตระหนักถึงภัยที่เกิดจากโรคนี้
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้เจ็บป่วยจากโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยมากนัก โดยเมื่อนับถึงวันที่ 25 มิถุนายน มีจำนวนผู้ป่วยสะสมรวมทั้งหมดมากกว่า 4.5 ล้านราย เสียชีวิตสะสมรวมมากกว่า 3 หมื่นราย โดยสถานการณ์ขณะนี้ดีขึ้นตามลำดับ ผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันอยู่ที่ระดับ 2,000 ราย และผู้เสียชีวิตไม่เกิน 20 รายต่อวันคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตโดยรวม ต่ำกว่า 0.1% เล็กน้อยซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิต ที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะประกาศว่า โรคเป็นโรคประจำถิ่น หรือที่เรียกว่า endemic
แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะให้ใช้คำดังกล่าวเลยหรือไม่ โดยอาจจะให้ใช้คำว่า post-pandemic ไปสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังต้องติดตามว่าเมื่อมีการเปิดประเทศและให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตแบบปกติแล้ว รวมทั้งการเปิดการเรียนการสอนแบบปกติในทุกระดับจะทำให้มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงไรถึงแม้จะมีความเชื่อมั่นว่าจำนวนผู้ป่วยรายใหม่น่าจะทยอยลดน้อยลง และหากป่วยก็จะไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มากกว่า 81 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมากกว่า1 เข็ม และมีอีก 76 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม รวมทั้งยังมีประชากรอีก 42 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 แล้ว รวมทั้งบุคลากรด้านการแพทย์ที่ได้รับการฉีดเข็มที่ 4 แล้ว
รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เกือบทั้งหมด เพื่อให้การดำเนินชีวิตของผู้คนกลับมาสู่สภาวะปกติ รวมทั้งการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแบบที่จะเรียกว่าเสรีได้แล้ว โดยได้ยกเลิกการสมัครผ่านเข้าประเทศไทยโดยใช้ Thailand pass ยกเลิกการทำประกันสุขภาพที่มีค่าวงเงินประกันมากกว่า 10,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพียงแต่ยังคงตรวจสอบประวัติเรื่องการฉีดวัคซีนว่าครบถ้วนหรือไม่เท่านั้น และหากยังฉีดไม่ครบก็เพียงแต่มีการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK เมื่อมาถึงประเทศไทยเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยวันละมากกว่า 30,000 ราย และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในการประชุมของคณะกรรมการศบค.ชุดใหญ่เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมานั้น ได้มีการปรับลดมาตรการของการสวมหน้ากากอนามัย โดยให้มีผลบังคับใช้เกิดขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องการถอดหน้ากากอนามัยว่า ควรจะทำได้ขณะอยู่คนเดียว ขณะออกกำลังกาย ขณะทานอาหารหรือดื่มน้ำ ขณะที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก อยู่นอกอาคารในที่โล่งแจ้ง และอยู่ในสถานที่ที่เว้นระยะห่างได้
โดยบุคคลที่ยังต้องสวมใส่หน้ากากตลอดเวลาได้แก่ ประชากรกลุ่ม 608 คือผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค รวมทั้งสุภาพสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ติดเชื้อหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการให้บริการหรือใกล้ชิดกับบุคคลอื่น เช่น บุคลากรทางด้านสาธารณสุข
ซึ่งเรื่องนี้ยังจะต้องมีการสร้างความเข้าใจและการให้ความร่วมมือของประชาชนในการสวมใส่หน้ากากอนามัยในบางสถานที่ ที่ยังจะต้องปฏิบัติให้เข้มงวด อาทิ ในการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งถือเป็นการรวมกลุ่มของประชาชน ทั้งในส่วนของพื้นที่ในสนามบิน และเมื่ออยู่บนเครื่องบิน เพราะผู้โดยสารต้องนั่งติดกันและอยู่ในบริเวณที่การถ่ายเทอากาศไม่ได้สมบูรณ์นัก รวมทั้งในโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ที่ต้องมีการป้องกันการติดเชื้ออย่างเข้มงวด ทั้งบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นผู้ให้บริการ ตลอดจนผู้เข้ารับบริการและผู้ติดตามทุกคนยังคงจะต้องสวมหน้ากากอนามัยไว้เสมอ
ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 จะเข้าสู่ภาวะที่ไม่น่าจะวิตกกังวลแล้ว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีโอกาสที่จะกลายพันธุ์ได้เสมอ ซึ่งก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ โดยในขณะนี้ก็เริ่มมีกระแสข่าวว่าเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นเชื้อที่ระบาดหลักอยู่ในขณะนี้ก็ได้มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นแล้ว และก็มีการพบผู้ป่วยในประเทศไทยจำนวนหนึ่งแล้วด้วย ยังไม่มีความชัดเจนว่าเชื้อโอมิครอนที่กลายพันธุ์ตัวใหม่นี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากน้อยเพียงใด แต่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามดูแลใกล้ชิดต่อไป พร้อมกับหวังว่าเชื้อนี้จะไม่ก่อให้เกิดปัญหารุนแรงเหมือนอย่างที่เชื้อสายพันธุ์เดลต้าเคยทำไว้
ก็หวังว่าการที่ส่วนใหญ่ของประชาชนชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ไปแล้วในระดับ 80 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นไปเป็นจำนวนหนึ่ง จะช่วยเป็นโล่ป้องกันการกลับมาระบาดของโควิด-19 ได้ แต่ถึงอย่างไรการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้มากขึ้นกว่านี้ รวมทั้งการฉีดเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 หรือการฉีดเข็มที่ 4 หลังจากนั้น 4-6 เดือนขึ้นไป ก็ยังเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการให้เกิดขึ้น
จงตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท การมีชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทย่อมเป็นสิ่งที่ดี และการที่ประชาชนได้ดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เสมอ ถึงแม้จะมีการประกาศยกเลิกการใส่หน้ากากไปแล้ว ก็มิได้หมายความว่าเป็นการยกเลิกการใส่ตลอดเวลา หากผู้ใดที่เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือแม้แต่เมื่ออยู่ในชุมชนหรือในที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก และสถานที่ที่ควร หรือถูกกำหนดว่าต้องใส่หน้ากากอนามัย ก็ควรจะปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไป เพราะหน้ากากอนามัยนั้นไม่ได้ช่วยเฉพาะการรับหรือการป้องกันแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อที่ผ่านระบบทางเดินลมหายใจทุกชนิดด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี