จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ซึ่งรายงานโดยกระทรวงสาธารณสุขในแต่ละวันในขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ราย โดยมีผู้เสียชีวิตที่ประมาณ 20 รายโดยเฉลี่ยต่อวัน ถึงแม้ตัวเลขดังกล่าวนี้จะเป็นตัวเลขทางการ แต่ขอให้เข้าใจว่าเป็นตัวเลขเฉพาะผู้ติดเชื้อและมีอาการที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่นับรวมจำนวนของผู้ติดเชื้อจากการตรวจด้วยตัวเองหรือสถานพยาบาลต่างๆ ที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ และได้รับการแนะนำให้พักรักษาโดยการกักตัวเองที่บ้าน ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะมีจำนวนในแต่ละวันมากกว่า 10 เท่าของตัวเลขที่ถูกรายงานอย่างเป็นทางการ
การประกาศเช่นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเกิดความประมาทในการดำเนินชีวิต และทำให้มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อและมีอาการ หรือไม่มีอาการเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก แต่หากภาครัฐคิดว่าการประกาศดังกล่าว ทำให้ภาพของการระบาดของโรคนี้ในประเทศไทยต่อกระแสสังคมและกระแสโลกดูดีขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้โรคโควิด-19 ผ่านจากโรคระบาดใหญ่มาเป็นระยะหลังโรคระบาดใหญ่และจะเข้าสู่โรคประจำถิ่นหรือที่เริ่มรู้จักกันดีว่าเป็นแบบ endemic นั้น ไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกอีกต่อไป ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยจากการท่องเที่ยวที่เป็นเงินจำนวนมหาศาลนั้นได้กระเตื้องขึ้นโดยเร็วซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ของประเทศจากการส่งสินค้าออกซึ่งเป็นรายได้หลักที่ไม่ได้รับผลกระทบในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 และทำให้ประเทศไทยยังคงมีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับที่ดีพอสมควร ถึงแม้ว่ารายงานเรื่องอัตราเงินเฟ้อล่าสุดจะมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกระแสโลก ซึ่งได้รับผลกระทบโดยรวมจากสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน อันทำให้เกิดปัญหาอย่างมากในเรื่องของพลังงานหลักของโลกคือน้ำมันก็ตาม
ผลจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยเพิ่มมากขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบการให้บริการสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขเอง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสำนักงานประกันสังคม ตลอดจนกรมบัญชีกลาง ต้องกลับมาทบทวนแนวทางในการให้การดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ผ่อนผันให้นำการกักพักรักษาตัวที่บ้านและโรงแรมกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ให้โรงพยาบาลที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อเป็นผู้พิจารณารับผู้ป่วยเพื่อการรักษาตามความเหมาะสม และภาครัฐรับผิดชอบค่ารักษาให้ตามแนวทางที่ได้เคยกำหนดไว้และปรับปรุงเพิ่มเติม
เป็นที่ทราบกันดีพอสมควรว่า การระบาดที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ส่วนใหญ่จะพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดเล็กเช่น ในครอบครัว ในกลุ่มผู้ร่วมงาน ในโรงเรียน โดยเชื้อที่เป็นสายพันธุ์หลักในการระบาดรอบนี้ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการระบาดในรอบที่ 6 ตามที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ได้อธิบายไว้ ว่าเกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัส-2019 สายพันธุ์โอมิครอน ชนิด BA.5 เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้ว ซึ่งคุณสมบัติของเชื้อสายพันธุ์นี้พบว่าสามารถจะหลบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการฉีดวัคซีนได้ดีพอสมควร โดยจะหลบภูมิชนิด B Cell ซึ่งเป็นภูมิที่ป้องกันการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าการหลบภูมิชนิด T Cell ซึ่งเป็นภูมิที่ช่วยป้องกันอาการจากการติดเชื้อที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เชื้อตัวนี้ก่อให้เกิดการระบาดของโรคได้ง่ายและรวดเร็วกว่าเชื้อสายพันธุ์อื่นที่เคยมีมา ซึ่งมีข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อจากทั่วโลกในขณะนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและค่อนข้างจะมากในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา บราซิล ฝรั่งเศส ส่วนในทวีปเอเชียก็พบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็วในแต่ละวัน เช่น ในประเทศญี่ปุ่น
เมื่อประชาชนทราบว่าตัวเองมีการติดเชื้อนั้น ไม่ว่าจากการตรวจด้วยชุด ATK เอง หรือตรวจจากสถานพยาบาลก็ตาม ทุกระบบของการรักษาพยาบาลก็ยังให้การดูแลรักษาที่ดี โดยมีแนวโน้มที่จะให้ผู้ติดเชื้อมีความเข้าใจว่า ในที่สุดแล้วโรคนี้จะไม่ต่างจากการเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถได้รับยาและพักรักษาโดยการกักตัวในบ้านเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถึงแม้ขณะนี้จะยังมีข้อแนะนำให้มีการกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และสังเกตอาการตัวเองต่ออีก 3 วัน แต่แนวโน้มอาจจะลดลงให้กักตัวเพียงแค่ 5 วัน และปฏิบัติงานได้โดยเฝ้าสังเกตอาการตัวเอง และดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่อีก 5 วัน ก็น่าจะพอแล้ว แต่ทั้งนี้การดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ยังเป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์เสมอ
เมื่อผู้ติดเชื้อเข้าถึงสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลก็จะได้พบแพทย์เช่นเดิม และได้รับการตรวจวินิจฉัย หากมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะได้รับยากลับไปทานที่บ้านโดยจะมียาอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งใช้รักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาลดเสมหะ เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งเป็นยาที่จะใช้จัดการกับเชื้อไวรัส จึงจะขอนำเรื่องยาที่จะใช้จัดการกับเชื้อไวรัสมากล่าวในที่นี้ ว่ามียาอะไรบ้าง และมีข้อบ่งใช้ตามระดับความรุนแรงของอาการมากน้อยอย่างไร
ยาตัวแรกที่ขอกล่าวถึงคือยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรของไทยเราเอง ยาตัวนี้สามารถจะใช้ในการลดอาการไข้รวมทั้งอาจจะช่วยลดปริมาณของไวรัสในร่างกายได้ เป็นยาที่ถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาล รวมทั้งเป็นยาซึ่งใช้กรณีกักตัวอยู่กับบ้านแบบเจอ แจก จบเป็นจำนวนมาก โดยมีข้อบ่งใช้ในผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อยและไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผลการรักษาไม่ต่างกับยาฟาวิพิราเวียร์มากนัก ราคาถูกและหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
ยาตัวที่ 2 ที่ถูกนำมาใช้ โดยถูกใช้ไปมากที่สุดในประชากรที่ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยประมาณ2 ล้านราย ยาตัวนี้คือฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่และการติดเชื้อจากไวรัสอื่นๆ ออกฤทธิ์โดยการทำลายสาร RNAที่ใช้สร้างไวรัส และเมื่อมีการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้นก็ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคนี้ แต่ก็มีประเทศที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษาเป็นยาหลักไม่มากนัก จนถึงปัจจุบันนี้รัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการจัดซื้อยานี้ซึ่งในระยะแรกต้องซื้อจากประเทศญี่ปุ่นในราคาเม็ดละประมาณ150 บาท โดยผู้ป่วย 1 คน ต้องทานยารวม 50 เม็ดเป็นอย่างน้อย จึงมีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาตัวเดียวนี้ไม่น้อยกว่าคนละ 7,500 บาท ต่อมาก็จัดซื้อจากประเทศจีนซึ่งราคาลดลงมาเรื่อยๆ จนเหลือประมาณ 50 บาท และขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยานี้ได้เอง ซึ่งทำให้ค่ายาในการรักษาต่อ 1 คอร์ส เหลือเพียงแค่ประมาณ 800 บาทเท่านั้น เป็นการลดภาระในการจัดซื้อยาตัวนี้ซึ่งใช้เงินไปแล้วมากกว่า 1 แสนล้านบาท ไปได้อย่างมาก ข้อบ่งใช้ของยาตัวนี้คือผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย จนถึงอาการปานกลางและไม่เป็นประชากรกลุ่มเสี่ยง
ยาตัวที่ 3 ที่ถูกนำมาใช้คือยาเรมเดซิเวียร์ยาตัวนี้เป็นยาที่ใช้โดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เป็นยาที่ใช้ลดจำนวนไวรัสที่เกิดขึ้นขณะป่วยเช่นกัน และเนื่องจากต้องฉีดเข้าเส้น จึงต้องใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น โดยมีข้อบ่งใช้ในผู้ป่วย ที่มีอาการปานกลางและเป็นกลุ่มเสี่ยง คือผู้ที่สูงอายุมากกว่า 60 ปี รวมทั้งผู้ที่มีโรคเรื้อรังกลุ่ม 608 แต่ที่เป็นประโยชน์มากคือสามารถจะใช้รักษาในหญิงตั้งครรภ์ได้ เป็นยาที่ต้องมีการขออนุมัติใช้เป็นกรณีพิเศษ โดยมีค่ายาต่อ 1 คอร์สของการรักษาอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท
ยาตัวที่ 4 ที่ถูกนำมาใช้คือยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งความจริงก็เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคไวรัสตัวอื่นเช่นกัน แต่พบว่าเมื่อนำมาใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ให้ผลการรักษาที่ดีพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอาการปานกลางขึ้นไป พบว่าสามารถจะช่วยลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ใช้ได้ในการรักษาโควิด-19 แล้ว และประเทศไทยก็ได้สั่งซื้อยาตัวนี้เข้ามาในระยะแรกจำนวน 50,000 คอร์ส ราคาคอร์สละประมาณ 20,000 บาทจากเงินงบประมาณ
ทั้งๆ ที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่น อินเดียอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และลาว ซึ่งมียาตัวนี้จำหน่ายในราคาเพียงคอร์สละประมาณ 600 บาท เนื่องจากอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับสิทธิบัตรชั่วคราวจากบริษัทเมอร์คซึ่งเป็นผู้พัฒนายาตัวนี้ให้ผลิตและจำหน่ายในประเทศได้ในฐานะประเทศที่กำลังพัฒนาและมีรายได้ปานกลางปัจจุบันประเทศไทยได้ใช้ยาตัวนี้มากขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการปานกลางถึงมาก เป็นยาที่ประชาชนพูดถึงกันมาก จึงทำให้มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยอาจจะหาซื้อได้ในราคาเพียงคอร์สละ1,900 บาท ถึง 3,500 บาท แต่ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังพิจารณาให้ลงโทษผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย และให้ข้อมูลว่าการใช้ยาควรจะเป็นไปตามความเห็นของแพทย์ เนื่องจากยาตัวนี้ยังเป็นการอนุมัติใช้ในภาวะฉุกเฉินและอาจก่ออันตรายได้
ยาตัวสุดท้ายที่ถูกนำมาใช้ในขณะนี้คือยาแพกซ์โลวิด ซึ่งยาตัวนี้เป็นการนำยา 2 ตัว ซึ่งใช้รักษาโรคไวรัสชนิดอื่นมาใช้ร่วมกัน คือยาเนียแมทริเวียร์และริโทนาเวียร์ โดยยาตัวนี้ออกฤทธิ์ต่างจากยาตัวที่กล่าวมาแล้วคือจะเป็นตัวทำลาย เอนไซม์โปรตีเอส ที่ไวรัสโควิดใช้ในการสร้างขยายจำนวนตัวเอง เป็นยาที่บริษัทไฟเซอร์ เป็นผู้พัฒนา และยาตัวนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาแล้วโดยพบว่ายาตัวนี้สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางขึ้นไป และมีความเสี่ยง โดยป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้มากถึง 88 เปอร์เซ็นต์ แต่ห้ามใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์ โดยมีค่ายาต่อ 1 คอร์สประมาณ 10,000 บาท และกระทรวงสาธารณสุขได้รับงบประมาณเพื่อซื้อยานี้เข้ามาแล้วประมาณ 50,000 คอร์สโดยการจะใช้ยาต้องขออนุมัติเป็นกรณีพิเศษเช่นกัน
ถึงแม้ว่าการรักษาโรคนี้จะมียาบางชนิดที่มีคุณภาพมากขึ้น แต่การไม่ป่วยหรือป่วยแล้วมีอาการเพียงเล็กน้อยย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าแน่นอน ดังนั้น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากที่ได้ฉีดครบตามเกณฑ์มาตรฐานแล้วจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 หลังจากนั้นอีก 4 เดือนก็ตาม ซึ่งจากตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขยังพบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มแล้วมีอยู่เพียง 43% เศษเท่านั้นโดยแต่ละวันมีผู้เข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นนี้สูงสุดเพียงแค่ประมาณ 50,000 รายเท่านั้น จึงขอรณรงค์ให้ประชาชนทั้งหลายเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามระยะเวลาที่ถูกกำหนดให้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองและสังคมโดยส่วนรวม
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี