l ขอยกตัวอย่างผู้นำ ในสังคมไทย บางส่วน มาเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษาเรียนรู้
๑.บางคน ทำได้ดี พัฒนาตนให้ก้าวไกลได้เต็มความสามารถ
ศึกษาสรุปประเมินผลงานประจำ เห็นข้อดี ข้ออ่อน ข้อจำกัด รับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงาน และมวลชน ศึกษาเรียนรู้ เพิ่มเติม ไม่หยุดมีแนวคิดอุดมคติ ที่อยากจะแก้ไข ปฏิรูปสังคมให้ไปถึงเป้าหมาย
๒.บางคน มีข้อจำกัด ทั้งในตัวเองและความคิด ที่จะพัฒนาตนและองค์กรให้ก้าวหน้าไปได้
l วัตถุประสงค์ : เพื่อให้เห็นสิ่งที่เขาได้ทำไป และข้อที่ควรสรุปบทเรียน
-สิ่งที่ดีโดดเด่น
-ข้ออ่อน ข้อจำกัด ที่ควรจะปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมให้ดีขึ้น
-สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนงานไปสู่เป้าหมายได้
-การพัฒนาตนเองในความเป็นผู้นำระดับชาติ โดยเฉพาะความกล้าหาญเสียสละเพื่อบ้านเมือง
-เรียนรู้ถึงเหตุปัจจัย ที่ทำให้เขา ทำได้ดีแค่นี้ ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
l @ เหตุปัจจัย ที่ทำให้เขา ทำได้ดีแค่นี้ ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
-ขาดการสรุปประเมินผลตนเอง
-การยึดติดตัวเอง (มีอัตตา EGO สูง)
-ขาดการรับฟัง การท้วงติง และการรับฟังการวิจารณ์จากผู้อื่น
-มีกรอบคิด ที่เกรงใจผู้คน ผู้ร่วมงาน ไม่กล้านำเสนอความถูกต้อง อย่างตรงไปตรงมา
-ขาดการศึกษาค้นคว้า หาแนวทาง จังหวะก้าวขั้นตอน ที่จะก้าวหน้าต่อไป
-ขาดความเข้าใจบทบาทการนำ การขับเคลี่อน
-ขาดความเข้าใจงานแนวร่วมอย่างลึกซึ้ง งานจึงแคบ ไม่กว้างไกล
-ขาดการเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ต้องแอบอิง ขึ้นกับผู้มีอำนาจบางคนฯ
l ตัวอย่างผู้นำบางส่วน (โดยไม่ขอเอ่ยชื่อ) แต่นำเสนอสิ่งที่เขาได้ทำต่อสังคม
1.ผู้นำบวก สร้างสรรค์
(๑) เป็นผู้นำที่สร้างงาน ในระดับชุมชน ด้วยความวิริยอุตสาหะ ใช้เวลาร่วมยี่สิบปี
เป็นงานด้านเศรษฐกิจชุมชน มีกิจกรรม ที่ร่วมงานสร้างสรรค์กับฝ่ายการเมืองฯ จนมีชื่อเสียง ในระดับจังหวัด และระดับประเทศและได้รับรางวัลระดับนานาชาติ
(๒) เป็นผู้นำที่สร้างงาน ในระดับอำเภอ พัฒนาขึ้นมาในระดับจังหวัดเป็นงานด้านวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อาศัยบทบาททางด้านประชาสังคม
(๓) เป็นผู้นำที่ก้าวขึ้นมาสู่ระดับแกนนำทางการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เป็นงานด้านความซื่อสัตย์สุจริตด้านการต่อสู้ และเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับที่แหลมคม ด้วยอุดมคติและคุณธรรมยังมีอุดมคติของตน ที่ได้ใช้ บั้นปลายของชีวิต ทำงานสร้างสรรค์ส่วนรวมฯ
(๔) เป็นผู้นำที่สร้างองค์กรด้านสังคม ระดับประเทศ เป็นงานด้านความคิดในเชิงปฏิรูปการจัดตั้งองค์กรนำระดับประเทศมีการสร้างทีมงาน ในการทำงาน มีการอบรมผู้นำของสังคมที่หลากหลาย
(๕) เป็นผู้นำด้านการเผยแพร่ความคิดและข่าวสารข้อมูลเป็นงานด้าน นสพ. ด้านจรรยาบรรณที่ดีของสื่อ (ที่มีน้อยในสังคม) การให้ข้อมูลเชิงสร้างสรรค์การให้กำลังใจ และปกป้อง ผู้นำที่ทำงานเพื่อบ้านเมือง ได้รับการยอมรับจากสังคมในระดับประเทศแม้มีปัญหาสุขภาพก็ยังคงยืนหยัดทำงานไม่หยุดฯ
(๖) เป็นผู้นำทางความคิดให้แก่สังคม การเสนอข้อมูลที่แหลมคม และการวิเคราะห์แนวโน้มที่ใกล้เคียงความจริงเคยมีบทบาท ในการนำการรณรงค์ให้นักศึกษาและประชาชนสนใจในเรื่องส่วนรวมเป็นผู้นำในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์เป็นที่ยอมรับจากสังคมในช่วงที่ผ่านมา
(๗) เป็นผู้นำของหน่วยงานที่สำคัญ ระดับประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน มีภาวะผู้นำตั้งแต่สมัยเรียน และพัฒนาตนเองมาตลอดเคยมีบทบาทเป็นผู้นำนักศึกษาที่โดดเด่น ในการร่วมกัน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ในเหตุการณ์ประวัติศาสตรประชาธิปไตย เข้าใจ และประเมินสถานการณ์ ที่ผ่านมา ได้ตรงตามความเป็นจริง (มีน้อยคน) เป็นนักคิดนักการศึกษา ผ่านสถาบันชั้นนำของประเทศและของโลก มีบทบาทโดดเด่นในงานวิชาการ เศรษฐกิจ การเงินการคลัง มีตำแหน่ง และความรับผิดชอบในระดับสูงของหน่วยงานการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนร่วมงานของส่วนรวม เพื่อขับเคลื่อนแก้ปัญหาของประเทศและประชาชน
l ตัวอย่างที่กล่าวมานี้ สามารถแบ่งประเภท ได้
๑.ผู้นำระดับรัฐบุรุษ ที่มีความกล้าหาญเสียสละ เพื่อบ้านเมืองมีบางคน มีพร้อม แต่ขาดโอกาส และเงื่อนไขทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวยฯ
๒.ผู้นำอุดมคติ ที่มีความพร้อม ครบถ้วน มีน้อยคน
๓.ผู้นำที่มีบทบาทในระดับประเทศ ที่จะสร้างสรรค์พัฒนาสังคมมีบางคน แต่ต้องการศึกษา และใช้ประสบการณ์ ในเสนอปัญหารูปธรรม และการเข้าร่วมแก้วิกฤตกับภาครัฐ
๔.ผู้นำในระดับชุมชน ที่มีบทบาทที่เป็นจริงมีอยู่ไม่น้อย แต่ต้อง ยกระดับตัวเอง ความคิด การนำ การจัดการ ให้เพิ่มขึ้น สูงขึ้น เพื่อให้โดดเด่นกว่านี้
๕.บางส่วนน่าเสียดาย ที่มีปัญหาสุขภาพ ที่จะค้นคิด และการเข้าหามวลชน ต่อ
2. ผู้นำเชิงลบ ไม่สร้างสรรค์ แต่ออกมาในรูปอคติ การทำลาย :โดยไม่รู้ตัว หรือคิดผิด
๑. เคยเป็นอดีตผู้นำนักศึกษา ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เคยมีบทบาททางการเมือง เป็น สส. น้ำดี แต่ไม่สามารถ ก้าวข้ามอุปสรรค ทางการเมืองจากผู้มีอำนาจในพรรค ช่วงท้ายๆ ต้องยอมตามผู้นำ และสร้างบทบาท ไม่สร้างสรรค์ ยกตัวเอง หวังสร้างบทบาทเป็นผู้นำ ให้สังคมยอมรับ โดยการกล่าวหาผู้อื่น อย่างไม่สร้างสรรค์ หวังว่า จะกลับตัวกลับใจ มาเป็นคนดี และผู้นำที่ดีได้
๒.เคยยากจน แต่มีฝีมือ สร้างพัฒนาตน จนเป็นที่ยอมรับจากสังคม เป็นผู้นำนักศึกษา ที่เคยมีบทบาทสูง เข้ามาสู่การเมือง ในพรรคการเมืองที่ดี แต่เล่นบทบาทในการรับใช้ผู้นำที่ทุนหนา ทุกรูปแบบได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีฐานะการเมืองในตำแหน่งสำคัญ และด้านทุนปัจจุบันร่ำรวย มีฐานะ มีบ้านช่องใหญ่โตโอฬาร นิสัยยังคงเดิม ชอบโอ้อวด และเหน็บแนมผู้อื่น โดยไม่รู้สึกตัว
๓.เป็นคนมีฐานะปานกลาง มีบทบาทเป็นผู้นำนักศึกษาในตำแหน่งที่เป็นศูนย์รวม ได้แสดงผลงาน จนเป็นที่ยอมรับจากสังคม ช่วงหนึ่งมีปัญหาเศรษฐกิจ และได้รับความช่วยเหลือ จนกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่มาตอบแทนนายทุนดังกล่าว แบบยอมถวายตัว สร้างความเสียดายให้กับเพื่อนฝูงและสังคม
๔.มีบางคน (หลายคน) เป็นนักวิชาการ และสื่อ ที่เคยมีบทบาททางงานวิชาการและสังคม ได้รับการยอมรับ ทางด้านการเสนอความคิดและข้อมูลที่ดี แก่สังคมแต่มาในยุคกระแสความขัดแย้งทางสังคมสูงกลับไปยึดติด “ความคิดอคติ” เชียร์เด็กแอก และฝ่ายค้านที่รุนแรง บทความและงานวิชาการ จึงออกมาในลักษณะอคติ กล่าวหาฝ่ายตรงข้ามในทางเท็จ ทำให้คุณค่าและบทบาทของเธอและเขา ลดลงอย่างน่าเสียดาย
๕.เคยเป็นนักธุรกิจ ในระดับท้องถิ่น สู้ชีวิต กับอุปสรรคมากมายของสังคมเหลื่อมล้ำ ทำมาเกือบทุกอย่าง ด้วยความถูกต้อง ตามกติกาของสังคม กลับเอาตัวแทบไม่รอด เพราะธนาคาร และธุรกิจ ไม่สนับสนุนตอนหลัง ด้วยความเป็นคนเก่งกาจ ศึกษาและได้ข้อสรุป “หนทางการฟื้นฟูฐานะ”ได้เข้าไปติดตาม รัฐมนตรี คนบ้านเดียวกัน จนมีช่องทาง เข้าสู่ธุรกิจครึ่งการเมือง จนมีฐานะดีขึ้นในระดับร้อยล้าน จึงเข้ามาจับธุรกิจใหญ่ แต่กลับมามีปัญหาหนี้สินก้อนใหญ่
ทางแก้ ที่ตัวเองเริ่มมีประสบการณ์ คือ เข้ามาสู่นักการเมืองในระดับสูง แล้วยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ เพื่อสัมปทานใหญ่ระดับชาติ จนมีวันนี้และเมื่อเข้ามามีบทบาททางการเมืองระดับสูงสุด กลับสะดุดเท้าตนเอง เพราะ “ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม โกงกินใหญ่” ในที่สุด ต้องติดคดี ถูกศาลลงโทษ ต้องหนีไปซ่องสุม อยู่ต่างประเทศ หวังจะกลับมาอย่างเท่ๆโดยอาศัยน้องสาว (ยิ่งถล้ำตัวหนัก) และตอนนี้ หวังที่ลูกสาว
๖.เป็นนักศึกษา ที่เติบโตมาในยุคหนึ่ง ที่ได้รับแนวคิด“ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น”
อาศัยทุนใหญ่ของพ่อแม่ มาสนับสนุน เพื่อนมิตร ทำสื่อใหญ่ด้านความคิดแต่มาได้ความคิดอคติ จาก อาจารย์และผู้เฒ่าใจร้าย จนตัวเองติดงอมแงมและได้เห็นสัจธรรม ว่า “การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามอุดมคติ” ต้องเข้าสู่การเมืองอาศัยทุนใหญ่ จึงสามารถสร้างพรรคการเมืองของตนได้
แต่การที่ขาดประสบการณ์ และได้รับอคติทางการเมืองที่ผิดๆ ที่แสดงออกอย่างก้าวร้าวฯ เกิดความผิดพลาดใหญ่ ทำให้ตัวเองและพรรคของตน ไม่สามารถไปต่อได้ แต่ยังคงสนับสนุนพรรคการเมืองในรูปอื่น และสื่อ นักวิชาการฯ เพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์ต่อ
๗.เขาและเธอ เคยมีอุดมคติ หวังเปลี่ยนแปลงสังคม ได้เข้ามาสังกัดพรรคการเมือง แต่ความอคติ ขาดประสบการณ์ จึงแสดงบทบาทในเชิงก้าวร้าว
ประกอบการขาดความเข้าใจ ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา การคงอยู่ได้ของสังคมไทย จึงนำเสนอ การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง ด้วยความเชื่อว่า “ถูกที่สุด” การกล่าวหา รัฐ หน่วยงานของรัฐ และมีบางส่วนละเมิดต่อกติกาของสังคม และสถาบันฯ ด้วยกรอบคิดว่า “จะเป็นหนทาง” ที่ทำให้ไปสู่เป้าหมายได้ น่าเสียดาย “ความคิดดีๆ ที่คิดถึง การขยายอำนาจประชาชน การลดอำนาจรัฐ” ที่ถูกอคติปิดบัง ทำให้ “ขาดแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จังหวะก้าว ขั้นตอน” ที่จำเป็นต้องผ่าน ตามกระบวนการเปลี่ยนแปลง ที่จักเป็นไปได้จริง ซึ่งต้องอาศัยการเติบใหญ่ของพรรค ของประชาชน และความคิดที่ดีงาม ถูกต้อง
2.ผู้นำที่เป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบ
๑.มีความเป็นผู้นำระดับสูง การเปลี่ยนแปลงสังคม ระดับปฏิรูปหรือปฏิวัติ ต้องการผู้นำระดับรัฐบุรุษ
๒.มีความคิด ความรู้ ในทฤษฎี และแนวทางการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย
๓.ทักษะ และความสามารถในการสร้าง ยกระดับ พัฒนา มวลชน คนในองค์กร และประชาชนในระดับประเทศ
๔.การจัดตั้งมวลชน ให้มีคุณภาพ มีความคิดในการมีส่วนร่วม ในการเปลี่ยนแปลงสังคม
๕.ความสามารถนำและจัดการบริหารคนในองค์กร ให้ไปในทางที่ถูกที่ควร
l มองบทบาทของการใช้อำนาจรัฐ ของผู้นำสังคมไทย
อาจจะแบ่ง เป็น ๓ ประเภท ตามการพัฒนาทางการเมือง
๑.ยุคแรก ที่เปิดจากด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕มาถึงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖
(๑) มีเจตนาที่ดี แต่ขาดความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลง ตามสภาพสังคม ที่เป็นจริง โดยการนำเข้า “ทฤษฎีประชาธิปไตย จากตะวันตก” มาใช้แบบไม่เข้าใจหรือขาดประสบการณ์ในประยุกต์ให้กับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย
(๒) การใช้อำนาจประชาธิปไตย ตามกติกา (ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย)
(๓) การใช้อำนาจเผด็จการ เพื่อล้มฝ่ายที่ครองอำนาจ เพื่อตัวเองและคณะได้เข้ามามีอำนาจ
๒.ยุคที่สอง จากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ถึง ยุคก่อน ทุนนิยมสามานย์ มีทั้งการใช้อำนาจตามกติกาเลือกตั้ง (ที่ยังไม่รุนแรงมากนัก) และการรัฐประหาร เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้ตนและพวกพ้องเข้ามามีอำนาจ
๓.ยุคทุนนิยมสามานย์ มาถึง ปัจจุบัน
(๑) การใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภา เพื่อเพิ่มอำนาจ ทุน ข้าราชการ มวลชน นักวิชาการสื่อ และการโกงกิน เงินงบประมาณมโหฬารของประเทศ สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศและประชาชนใหญ่
(๒) การใช้อำนาจของรัฐบาลในระบบการเลือกตั้ง ของนักการเมืองพรรคการเมืองอื่นๆ พยายามประคับประคอง สถานการณ์ของบ้านเมือง ไปได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้มาก เพราะระบบการเลือกตั้งยังคงใช้แบบเดิม (อำนาจ เงิน สื่อ มวลชนฯ) ไม่มีการปฏิรูป
(๓) การรัฐประหารของกองทัพฯ ๒ ครั้ง (๒๕๔๙ และ ๒๕๕๗) เป็นความจำเป็นของสถานการณ์ : ที่ถูกกระทำโดย “ระบอบทุนสามานย์ทักปูฯ”
หากปล่อยไป ทั้งที่ใช้อำนาจมิชอบ ผิดกฎหมาย โกงกินบ้านเมืองเสียหายอย่างหนัก ประชาชนและประเทศไทย คงจะล่มสลาย ฟื้นตัวยากที่สุด ฯลฯ และคงไม่มีวันนี้
กองทัพ ที่ทำการรัฐประหาร มีผู้นำทหารที่มิได้มีลักษณะเผด็จการหลังจากนั้น ก็มีการร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะครั้งหลัง ผ่านการลงประชามติและเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ โดยการเลือกตั้งและทำหน้าที่ ได้ดีระดับหนึ่ง โดยตัวนายกฯ ไม่มีผลประโยชน์จากการโกงกินฯ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี