หลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้จะบอกว่ารัฐบาลรอดทั้งคณะ แต่ก็ได้สร้างรอยร้าวภายในรัฐบาลอย่างมากทั้งระหว่างพรรคร่วมและภายในพรรคการเมืองบางพรรคอย่างน้อยสองพรรค ซึ่งอาจส่งผลให้พรรคการเมืองบางพรรคที่ในตอนแรกอาจถูกวางตัวให้เป็นพรรคสำรองนั้น ถูกผลักดันให้กลายมาเป็นพรรคหลักแทนหรือไม่ ที่ล่าสุดเมื่อวานนี้ก็ได้มีการแถลงการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองใหม่ที่มีโครงสร้างที่ชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ก็คงต้องกัดฟันจับมือกันเดินต่อไปก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งตอนนี้วาระหลักคือการกำหนดกติกาเลือกตั้ง ที่รอบนี้ไม่ได้ขึ้นกับความเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน หากแต่ขึ้นกับเป้าหมายคะแนนของแต่ละพรรคที่มีทิศทางต่างกันหรือเหมือนกันในบางคู่ จึงจะได้เห็นอะไรแปลกๆ ในการโหวตกฎหมายลูกหลังจากนี้อย่างแน่นอน แต่ก่อนจะถึงวันนั้น อาจจะมีอะไรมาสะดุดนายกรัฐมนตรีก่อนหรือไม่?
สิงหาคมนี้ อาจมีอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่อาจทำให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ต้องสะดุดอย่างไม่คาดคิด เพราะในตอนนี้เรี่องนายกฯ 8 ปี ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการและนักกฎหมาย ที่มีข้อเสนอและมุมมองแตกต่างกันอย่างมาก และแม้เหมือนจะมีทางออก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกระแสข่าวออกมาอย่างหนาหูว่าจะมีการใช้ประเด็นนี้ จังหวะนี้ในการเตรียมกดดันเพื่อให้พลเอกประยุทธ์ก้าวลงจากตำแหน่งด้วยการเคลื่อนไหวภายนอกสภาฯและการเคลื่อนไหวอีกบางอย่าง
จากการที่ คณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งนำโดยนายจตุพรและนายนิติธร ได้จัดเวทีเสวนาขึ้นจนถูกเชื่อมโยงว่าเป็นการกดดันพลเอกประยุทธ์ ให้ก้าวออกจากตำแหน่งด้วยเรื่องของนายกฯ 8 ปีหรือไม่? พร้อมกันนี้ยังมีแนวโน้มว่าในช่วงเดือนสิงหาคมนี้จะมีการจัดงานปราศรัยขึ้น อาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างต่ำแต่อย่างไรก็ตามการเตรียมการชุมนุมเพื่อกดดันพลเอกประยุทธ์ดังกล่าว ก็น่าจะมีแววต้องพับโปรเจกท์ไปเสียก่อน
จากการที่ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศ ห้ามชุมนุมมั่วสุม หรือจัดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาดตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป ก็ไม่แน่ว่าหากไม่มีประกาศดังกล่าวแล้ววันที่ 23 สิงหาคม พลเอกประยุทธ์ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ การชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองธรรมดาๆ ก็อาจยกระดับจากการจัดปราศรัยธรรมดา เป็นการลงถนนหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม หากพลเอกประยุทธ์สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคเรื่องนายกฯ 8 ปี ไปได้ ก็แทบจะการันตีแล้วว่า รัฐบาลของ ฝพลเอกประยุทธ์จะอยู่ครบเทอมอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังการการันตีโอกาสในการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ด้วยหรือไม่? แต่ถึงแม้จะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้และการันตีการอยู่ครบเทอม แต่ก็ใช่ว่าระยะทางหลังจากนี้จะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป โดยเฉพาะในชั่วโมงนี้ที่ไม่มีอะไรแน่นอน แม้กระทั่งเรื่องภายในมุ้ง ตลอดจนการครบรอบ 8 ปีของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ก็จะทำให้พลเอกประยุทธ์อยู่ได้อีกเพียงครึ่งวาระ หากได้ดำรงตำแหน่งสมัยหน้า
เป็นที่เข้าใจกันว่าในระยะเวลาตลอดช่วงสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ผ่านมา ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่ม 3 ป. เป็นหลัก และแม้พอเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ต้องทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงต้องพึ่งอำนาจ 3 ป. ในการบริหารจัดการ โดยมีพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตร คุมพรรคพลังประชารัฐ ควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนระหว่างกลุ่ม 3 ป. กับบรรดานักการเมืองในสังกัดพรรคต่างๆ ทั้งพรรคร่วม พรรคเล็ก และแม้กระทั่งพรรคฝ่ายค้านในบางสถานการณ์ด้วยซ้ำ ส่วนด้านพี่รองอย่างพลเอกอนุพงษ์ ก็ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นทั้งหมดที่นับได้ว่าคุมข้าราชการส่วนภูมิภาคจนอยู่หมัดนิ่งสนิทให้พลเอกประยุทธ์ได้บริหารงานสบายๆ มา 8 ปีเต็ม ขณะที่พลเอกประยุทธ์ซึ่งรับบทเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เปรียบเสมือนนักแสดงที่อยู่บทเวทีท่ามกลางแสง สี เสียง ที่ต้องยอมรับแรงปะทะจากทั้งในและต่างประเทศจนหล่อหลอมให้วันนี้พลเอกประยุทธ์แปลงร่างจากทหารมาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว
ที่ผ่านมา ทั้ง 3 ป. ก็ได้ทำหน้าที่และความรับผิดชอบงานของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งจากการควบคุมกิจการภายในและการเมืองระหว่างประเทศอีกทั้งยังสามารถพยุงให้ประเทศไทยสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงภัยสงครามได้อย่างไร้ที่ติ รวมถึงการรอดพ้นจากการต่อต้านหรือม๊อบต่างๆ ที่หลายคนคาดว่าทหารน่าจะสู้มืออาชีพทางการเมืองไม่ได้และน่าจะจบเกมตั้งแต่ปีแรกแต่สุดท้ายก็สามารถเอากลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ได้จนมาถึงปีสุดท้าย แต่ภายใต้ภาพลักษณ์การบริหารงานที่กลมเกลียวใครเล่าจะรู้ว่าลึกๆ แล้วความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่ พี่รอง รวมถึงน้องเล็ก ในตอนนี้ยังรักและกลมเกลียวเปรียบเสมือนพี่น้องท้องเดียวกันอยู่หรือไม่?
หลังจากที่การศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้จบลง พร้อมกับบทสรุปที่ว่า พลเอกประยุทธ์พร้อมคณะได้รับคะแนนเสียงที่มากพอและมีโอกาสที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่องราวภายในพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังรอคิดบัญชีกันต่อ แต่ที่หนักกว่าคือภายในพรรคพลังประชารัฐเองที่แม้คะแนนจะรอดหมดทุกคน แต่คะแนนที่ต่างกันมากโดยเฉพาะคะแนนที่น้อยที่สุดคือ 1 ใน 3 ป. ด้วยแล้วยิ่งต้องจับตามอง จนไม่อาจละสายตาได้
ในตอนนี้นักวิชาการและนักวิจารณ์เริ่มตั้งข้อสงสัยถึงความกลมเกลียวของ 3 ป. เพราะทันทีที่ผลคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจออกมา ในรูปแบบที่หนึ่งในพี่น้อง 3 ป. อย่างพลเอกอนุพงษ์ ได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจสูงที่สุดในบรรดารัฐมนตรี 11 ท่าน ทั้งที่พลเอกอนุพงษ์ ก็ได้นั่งในเก้าอี้กระทรวงที่สำคัญอย่างมหาดไทยที่ดูแล้วน่าจะต้องมีความใกล้ชิดกับผู้แทนและภาคการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งก็น่าจะมาผลสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาสส.ในพรรคและในพรรคร่วมฯ แต่ผลคะแนนกลับไม่ได้สอดคล้องกับตำแหน่งและเก้าอี้กระทรวงที่ตนเองรับผิดชอบ ซ้ำร้าย เมื่อมองไปที่ผลคะแนนของพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตร กลับมีผลออกมาที่แตกต่างกัน เพราะพี่ใหญ่อย่างพลเอกประวิตรกลับได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจต่ำที่สุด
เกิดอะไรขึ้น ! และของจริงลึกๆ คืออะไรกันแน่
และว่ากันตามตรง บรรดา สส. ก็น่าจะรู้กันดีว่าการกระตุกคะแนนโหวตพลเอกอนุพงษ์ ก็ไม่ต่างกับการลูบคม 3 ป. แต่ก็น่าแปลกที่ตั้งแต่จบศึกอภิปรายไปจนถึงตอนนี้ แม้จะมีกระแสข่าวว่าพลเอกอนุพงษ์ ได้เคลียร์ใจกับ สส. ภายในพรรคพลังประชารัฐแล้ว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีกระแสข่าวออกมาถึงการลงดาบผู้แทนฯที่โหวตคว่ำพลเอกอนุพงษ์แต่อย่างใด? ก็คงต้องตามดูต่อไปในอนาคตว่า พลเอกประวิตรทั้งในฐานะหัวหน้าพรรคและในฐานะพี่ใหญ่ของ 3 ป. จะมีการจัดการใดๆ ในพรรคเพื่อเรียกศักดิ์ศรีพลเอกอนุพงษ์คืนมาหรือไม่? แต่เรื่องราวก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยให้เห็นที่มาของปัญหาที่อาจจะทำให้อะไร อะไรดูยากขึ้นไปอีก
สัปดาห์ที่ผ่านมา การกราบสะเทือนแผ่นดินของหนึ่งใน สส. จังหวัดสมุทรปราการ สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ท่านหนึ่งที่โหวตล้มพลเอกอนุพงษ์ มีการถูกตั้งคำถามว่าการขอขมาดังกล่าวไม่ได้มีการส่งสัญญาณในการกล่าวขอโทษขอโพยพลเอกอนุพงษ์แต่อย่างใดแต่กลับเป็นการกราบขออภัยพลเอกประวิตรพร้อมกับข้อเรียกร้องบางอย่างที่ดูจะเพิ่มรอยร้าวขึ้นมาอีกแทน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นไปเพื่อหาทางลงของปัญหาในพรรคหรือหวังผลแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริงๆ กันแน่? แต่ที่หลายคนอยากรู้มากกว่าคือพลเอกประวิตรรู้แต่ต้นถึงการเตรียมโหวตแบบนี้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม การกราบสะเทือนวงการที่ได้เกิดขึ้นนั้น เป็นการตอกย้ำถึงบารมีพลเอกประวิตรที่มากล้น และเป็นที่เคารพยิ่งของบรรดา สส. ไม่ว่าจะพรรคใด ฝ่ายใดก็ตาม จนมีกระแสข่าวหนาหูว่า ไม่ใช่เพียงแค่ สส. สมุทรปราการเพียงเท่านั้น แต่มีผู้แทนสังกัดพรรคพลังประชารัฐจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการให้พลเอกประวิตรย้ายเปลี่ยนเก้าอี้ มานั่งที่กระทรวงมหาดไทยแทน
อาจเพราะความใกล้ชิดระหว่างพลเอกประวิตรกับบรรดา สส. ภายในพรรคที่มีมากกว่า พลเอกอนุพงษ์ บรรดา สส. จึงอาจเล็งเห็นว่า หากมีการโยกย้ายพลเอกประวิตรไปนั่งยังกระทรวงมหาดไทย เกิดขึ้นจริง ก็น่าจะเป็นผลดีกับพรรคพลังประชารัฐมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่การเลือกตั้งใหญ่นั้น ได้ย่างกลายเข้ามาในทุกขณะ และปีนี้จะมีการเลื่อนขั้นโยกย้ายผู้ว่าราชการอีกหลายสิบตำแหน่งทดแทนผู้ว่าราชการจังหวัดที่ต้องเกษียณอายุในตุลาคมนี้
ด้วยบุคลิกของพลเอกประวิตร ที่มีความใจถึง เป็นพี่ใหญ่ที่คอยรับฟังสส. อย่างใกล้ชิด และเข้าถึงง่าย ผิดกับพลเอกอนุพงษ์ที่ดูแล้วมีบุคลิกนิ่งเงียบ พูดน้อย และขึ้นชื่อว่าเข้าถึงยาก การประสานงานกับบรรดาผู้แทน และตัวแทนจากท้องถิ่นต่างๆ จึงอาจไม่ลื่นไหล ไม่สะดวกมากนัก และนี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่มีการถกเถียงกันในเรื่องของเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย
หากยังจำกันได้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในช่วงหลังจากที่เกิดความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ จนเป็นเหตุให้ ร้อยเอกธรรมนัส ต้องถูกระเห็จออกจากพรรคพลังประชารัฐไป ก็มีกระแสข่าวความเคลื่อนไหวของร้อยเอกธรรมนัสพร้อมพรรคพวกที่ถูกขับออก ที่มีการเรียกร้องให้พลเอกประวิตรย้ายสังกัดไปนั่งกระทรวงมหาดไทยแทน เพื่อแลกกับการที่ตนเองและพวกพ้องจะยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่
จึงไม่แปลกที่รอบนี้พรรคเศรษฐกิจไทย จะไม่โหวตไว้วางใจพี่รองอย่างพลเอกอนุพงษ์ รวมถึงน้องเล็กอย่างพลเอกประยุทธ์ ผิดกับพลเอกประวิตร ที่ซุ้มพรรคเศรษฐกิจไทยต่างพร้อมเพรียง พากันโหวตไว้วางใจอย่างไม่แตกแถว
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวก็น่าจะสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับพลเอกอนุพงษ์ ที่ถูกกระตุกหนวดเช่นเดียวกับพลเอกประยุทธ์ ที่ก็ไม่น่าจะยินดีในสภาวะการณ์แบบนี้
เรื่องแบบนี้อาจมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในพรรคจะมีการเลื่อยเก้าอี้กันเองก็ได้ หากคนคนนี้ไม่ใช่ 3 ป. เพราะในขณะที่อีกป.คะแนนท่วมท้นอยู่คนเดียว
เอาเข้าจริง ก็ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่าตอนนี้ เนื้อในความสัมพันธ์ในเครือ 3 ป. นั้นเป็นอย่างไรกันแน่?เพราะคำตอบของคำถามนี้มีเพียงพี่น้องในเครือเท่านั้นที่จะทราบถึงระดับความสัมพันธ์ที่แท้จริง แต่หากจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สส. และ 3 ป. แบบรายคนก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากจะถามถึงระดับความสัมพันธ์ ถามเป็นรายบุคคลน่าจะได้คำตอบที่ตรงประเด็นมากกว่าหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ การที่แต่ละ ป. มีบทบาท หน้าที่ บุคลิก รวมถึงอุปนิสัย และลักษณะในการทำงานที่แตกต่างกัน นั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ความแข็งแกร่งของแต่ละ ป. ดูจะไม่เท่ากัน โดยเฉพาะในเรื่องของความยำเกรง และการได้รับความเคารพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างกรณีของพลเอกประยุทธ์ก็ดูจะมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ด้วยตำแหน่งที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นศูนย์รวมของอำนาจในตอนนี้ จึงน่าจะพอให้พลเอกประยุทธ์มีบารมี และมีผู้ติดสอยห้อยตามในระดับหนึ่ง ส่วนพลเอกอนุพงษ์ ที่มีอำนาจในการปกครองส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นในมือโดยตรง ซึ่งโดยตำแหน่งและหน้าที่แล้ว ก็น่าจะมากพอที่จะทำให้ผู้แทนในแต่ละท้องถิ่นยำเกรงและพึ่งพาอาศัยได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเป็นจริง กลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง
เพราะ ศูนย์รวมของอำนาจและการบริหารจัดการ สส. กลับมาควบรวมที่พลเอกประวิตร ว่ากันตามตรงบทบาทของพลเอกประวิตร ก็ไม่ต่างอะไรกับเสาหลัก ของพรรคพลังประชารัฐ และไม่ต่างอะไรกับเดอะแบกของขั้ว 3 ป. แม้แต่น้อย และเมื่อมีปัญหากันภายใน พลเอกประวิตรก็มักจะทำหน้าที่เป็นกาวใจให้ในแทบทุกเรื่องและทุกความขัดแย้ง อีกทั้งหน้าที่คอยประสานงาน สส. ภายในพรรคยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ ระหว่างผู้แทนฯและพลเอกประวิตร ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้น
จริงๆ ก็ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะได้มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบไปแล้วตามที่ได้กล่าวข้างต้น แต่ละป.คุมละภาคส่วน แต่ต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
กลายเป็นว่าภายในมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ สายใคร สายมัน บ้านใคร บ้านมัน ลูกพี่เอ็ง ไม่ใช่ลูกพี่ข้า ส่วนลูกพี่ข้า ก็ไม่ใช่ลูกพี่เอ็ง ด้วยระดับความเคารพและความยำเกรงที่มีต่อตัวบุคคลที่แตกต่างกันทำให้การทำงานมีแนวโน้มที่ค่อนข้างติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นขัดแย้งแบบออกหน้าในตอนนี้อนาคตเส้นทางอำนาจ 3 ป. จะเป็นอย่างไร?
ยิ่งในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็เป็นเวลาที่ไม่อาจรอช้าได้เลย เพราะหากสุดท้ายแล้ว 3 ป. เกิดการแยกเส้นทางกันเดิน หรือการแตกพรรคขึ้นมากันจริงๆ แม้จะบอกว่าเป็นพรรคพวกกันแต่แยกกันเดินคนละพรรค โอกาสที่จะแตกแยกจริงจะมีสูงมากขึ้น
จากนี้ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐไว้ให้ดี เพราะไม่แน่ว่า หากพรรคพลังประชารัฐ มีการเปลี่ยนแปลงระดับผู้บริหารภายในหากวางไม่ดี ก็อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่ยุคใหม่อีกครั้งหรือเปลี่ยนไปอีกด้าน และนั่นอาจส่งผลให้การตั้งพรรคการเมืองสำรองนั้น อาจไม่สำรองอีกต่อไปเช่นกัน
โดยเฉพาะในรายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่อาจเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ในตอนแรกถูกตั้งแง่ว่าเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองสำรองหากว่าพรรคพลังประชารัฐไม่อาจไปต่อได้ เชื่อว่าอีกไม่นานพรรครวมไทยสร้างชาติจะมีการขยับที่ชัดเจนมากขึ้นกว่า หลังจากที่ได้ประกาศชื่อของ นายพีระพันธุ์ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะมีบิ๊กเนมเริ่มตบเท้าเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน
ในกาลข้างหน้า พรรคพลังประชารัฐจะยังคงสภาพความเป็นพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่? และหากพรรคพลังประชารัฐยังอยู่รอดปลอดภัยถึงการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ก็น่าสนใจว่าโครงสร้างหลักของพรรคจะยังคงเดิม หรือมีการเปลี่ยนแปลง? และที่สำคัญที่สุดพลพรรคหัวเรือใหญ่ที่ถูกเรียกขานนามว่า 3 ป. จะแปรรูปความสัมพันธ์เป็นแบบใด พี่น้องพรรคเดียวหรือพี่น้องพรรคคู่
“ความจริง รักนั้นมักเกิดขึ้นโดยฉับพลันเสมอ มีแต่รักของมิตรสหายเท่านั้น
ที่ต้องสะสมขึ้นจากวันเวลา จึงจะหนักแน่นยืนนาน”
โกวเล้ง จาก กระบี่อมตะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี