พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จากการเลือกในที่ประชุมรัฐสภา หลังการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นับเป็นเวลาราว 3 ปีเศษ จากวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกปี หัวปี-ท้ายปี
ผ่านการตรวจสอบเข้มข้น ดุเดือด ทั้งในสภาและนอกสภา อย่างต่อเนื่อง
ไม่ปรากฏหลักฐานว่ากระทำการทุจริตคดโกงบ้านเมือง (ต่างจากอดีตนายกฯบางคน)
ในท่ามกลางวิกฤตโลกโควิด-19 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกรุนแรงที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ธุรกิจทั่วโลกล้มระเนระนาด ซ้ำเติมด้วยวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน สงครามเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคงระหว่างประเทศ นายกฯ นำพาบ้านเมือง ปกป้องชีวิตประชาชนคนไทย กระทั่งประเทศไทยได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติ แล้วยังมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งระบบราง ถนน สนามบิน ท่าเรือ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในอนาคต ทั้งยังจัดสรรสวัสดิการพื้นฐาน ช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ
แต่มีความพยายามแย่งชิงอำนาจจากพรรคการเมืองที่ต้องการให้คนโกงหนีคดีกลับบ้านแบบไม่ต้องติดคุก
ลุงตู่ อยู่ในบัญชีนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ รัฐสภาลงมติเลือกให้เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เป็นมา 3 ปี ถูกสร้างวาทกรรมซ้ำๆ ว่าเป็นนายกฯ มา 8 ปีแล้ว โดยนำเอาช่วงที่เป็นนายกฯ ก่อนจะมีรัฐธรรมนูญปัจจุบันมารวมด้วย แล้วอ้างว่ากำลังจะเกินกำหนดตามรัฐธรรมนญปัจจุบันแล้ว !!!
1. นายกฯ พลเอกประยุทธ์ระบุว่า พร้อมน้อมรับคำตัดสินของ
ศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ
2. มีขบวนการปลุกปั่น ปลุกม็อบ ตีความคิดเองเออเองว่าขัดรัฐธรรมนูญแล้ว โดยไม่รอคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ
3. มีการเผยแพร่เอกสารบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 500 เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2561 นำเอาช่วงที่เป็นการถามบางช่วง ระหว่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ กับนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ให้ความเห็นส่วนตัวทำนองว่า
แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่ รธน.นี้ใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวรวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตาม รธน.ปี 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแห่นงนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี
นำมาอ้างอิงราวกับว่าเป็นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้ขาดแล้วว่า การดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ให้นับรวมช่วงเป็นนายกฯ ก่อนรัฐธรรมนูญ
ทั้งๆ ที่ การสนทนาดังกล่าว เป็น “ความเห็นส่วนตัว” ที่ปรากฏในบันทึกการประชุม ซึ่งมีกรรมการหลายท่าน แต่ละท่านก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป
มิใช่สรุปมติของ กรธ.
แล้วความเห็นดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏในเอกสารรายงานข้อสรุปด้วยซ้ำ
โดยที่การประชุมดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติไปแล้ว ประกาศใช้บังคับแล้ว เท่ากับว่า เป็นการตีความรัฐธรรมนูญในความเห็นส่วนตัวของผู้ออกความเห็นเท่านั้นเอง
4. “ความเห็นของผู้ร่างรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่ง ก็มิใช่เจตนารมณ์ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ”
คุณ Paibull Krachangwuttichai ได้หยิบยกประเด็นสำคัญ โดยยกแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีต ระบุว่า
“ความเห็นของผู้ร่างรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่งก็มิใช่เจตนารมณ์ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ” ศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวเมื่อ 10 ปีก่อน...
...มีปัญหาตามอีกว่า แล้วความเห็นของกรธ.สองท่าน (อาจารย์มีชัย และท่านสุพจน์) จะถือเอาเด็ดขาด ประหนึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้หรือไม่????
เท้าความไปถึงช่วงปลายรัฐธรรมนูญ 2550 เวลานั้นมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับมาตรา 68 ว่าประชาชนทั่วไปจะสามารถยื่นใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญผ่านศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงหรือไม่ หรือจะต้องผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น ถือเป็นวิวาทะใหญ่พอสมควร เพราะผลของการมาตรา 68 คือ การยุบพรรคการเมือง หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนั้นมีลักษณะเป็นการล้มล้างการปกครอง
ฝ่ายหนึ่งอ้างอิงถึงความเห็นของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 บางคนที่อภิปรายในสภาทำนองว่ามาตรา 68 ไม่ได้ระบุถึงการให้สิทธิประชาชนยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ถือเอาเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
พอมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าคดีพลิก เพราะศาลรัฐธรรมนูญกลับมีความเห็นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง (อ้างอิงคำวินิจฉัย 18-22 /2555 หน้า 22) โดยมีความตอนหนึ่งดังนี้
“การมีอยู่ของมาตรา 68 และมาตรา 69 แห่งรัฐธรรมนูญนี้ จึงเป็นไปเพื่อรักษาหรือคุ้มครองตัวรัฐธรรมนูญเอง ตลอดจนหลักการที่รัฐธรรมนูญ ได้รับรองหรือกําหนดกรอบไว้ให้เป็นเจตนารมณ์หลักทางการเมืองของชาติ คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และป้องกันการกระทําเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ”
“ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญในประการนี้ต่างหากที่ถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญที่จะต้องยึดถือไว้เป็นสําคัญยิ่งกว่าเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะถือเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้ แต่ความเห็นของผู้ร่างรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่งก็มิใช่เจตนารมณ์ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ”
ขีดเส้นใต้ประโยค “ความเห็นของผู้ร่างรัฐธรรมนูญคนใดคนหนึ่งก็มิใช่เจตนารมณ์ทั้งหมดของรัฐธรรมนูญ” ตรงนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมองว่าการอภิปรายของผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่อาจถือเอาเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องดูที่ความมุ่งหมายเป็นสำคัญ จนกลายเป็นที่มาของการเปิดโอกาสให้ประชาชนยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง และกรธ.ก็นำหลักการนั้นมาไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 213
ดังนั้น ถ้าในอนาคตเรื่องของนายกฯประยุทธ์ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับยึดถือจากคำวินิจฉัยข้างต้น ก็พอจะเห็นได้ว่าบันทึกการประชุมกรธ.ดังกล่าว ไม่น่าจะเป็นพยานหลักฐานชี้ขาดว่านายกฯประยุทธ์จะอยู่หรือจะไป แต่อย่างน้อยจะถูก
รับฟังในชั้นศาลอย่างมีนัยสำคัญพอสมควร และคงอาจได้มีโอกาสเห็นบิ๊กๆ กรธ.ที่คสช.แต่งตั้งไปให้ความเห็นในศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือตัวเป็นๆ
สรุปสุดท้ายปลายทางคงต้องรอศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว...
5. ล่าสุด นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ผู้ถูกพาดพิง ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่า บันทึกการประชุมดังกล่าวเป็นเอกสารเปิดเผย ไม่ใช่บันทึกลับอะไร ความเห็นดังกล่าวของตนก็เป็นแค่การพูดคุยปรึกษาหารือแบบไม่เป็นทางการของ กรธ.ตอนนั้นและในความเป็นจริงมีการพูดกันหลายคน แต่มีคนไปจับประเด็นที่บางกลุ่มต้องการ มีการไปดึงโค้ดคำพูดที่เขาต้องการให้มาประเด็นในตอนนี้เท่านั้นเอง ขอย้ำว่าบันทึกดังกล่าวไม่ใช่มติ เป็นการหารือทั่วไปของ กรธ. และไม่ได้คุยกันแค่สองคน ระหว่างตนเองกับประธาน กรธ. แต่คุยประเด็นนี้กันหลายคนในกรธ. 21 คน เป็นลักษณะการคุยกันทั่วไป แต่ที่มีการบันทึกไว้ในรายงานเป็นเอกสารดังกล่าว ก็เพราะตำแหน่งของตนเองเป็นรองประธาน กับประธานเท่านั้นเอง ซึ่งตอนที่คุย ก็มีความเห็นกันหลากหลายและตอนนี้ อะไรก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว อยากให้เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดจะดีกว่า
“ตรงนั้นแค่ความเห็นของผม ไม่ใช่มติอย่างเป็นทางการของ กรธ. มติมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้มันเป็นความเห็น คุยกันทั่วไป โดยตอนนั้นไม่ได้มีบริบทอื่นเลย
...ถ้าดูตาม รธน.ปี 2560 มาตรา 158 และ มาตรา 159 ก็มีขั้นตอนหลายวรรคหลายตอน จะไปเฉพาะเจาะจงตอนใดตอนหนึ่งไม่ได้ ส่วนที่จะบอกว่าจะนับตอนไหน ก็เห็นชัดอยู่แล้ว ต้องเป็นไปตาม รธน.ปัจจุบันที่มีขั้นตอน และรัฐสภาเลือกขึ้นมา ซึ่งรัฐสภาคือผู้แทนปวงชนชาวไทย
...คุณต้องไปดูความเห็นที่ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาที่ออกมาโพสต์เรื่องการตีความการนับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านให้ความเห็นดีมากเลย” นายสุพจน์ระบุ
นายสุพจน์ยังให้ความเห็นส่วนตัวด้วยว่า การนับช่วงระยะเวลาดำรงตำแหน่ง 8 ปี เริ่มนับจากวันที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน คือ ในปี 2562 แต่คำชี้ขาดอย่างไรอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี