ภารกิจซึ่งถือว่าเป็นความสำคัญยิ่งครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณโตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่ได้มีกุศลเจตนาในการที่จะหาเงินบริจาค เพื่อนำไปเป็นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนครพนม และโรงพยาบาลแขวงคำม่วนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยการว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงจากฝั่งไทยที่จังหวัดนครพนม ไปยังฝั่งของประเทศลาว เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นประมาณ 15 กิโลเมตร โดยได้เชิญชวนให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อร่วมสร้างกุศลด้วยกัน ก็ได้เสร็จลุล่วงไปโดยเรียบร้อยสมบูรณ์ดีทุกประการ ได้เงินบริจาคทั้งสิ้นเป็นจำนวนประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากพอสมควรและมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ประมาณ 16 ล้านบาท
เป็นที่น่ายินดีว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับความชื่นชมและยกย่องจากประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งโดยลักษณะนิสัยของคนไทยแล้ว ถือว่าเป็นผู้ที่ชอบทำบุญ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสำคัญของพุทธศาสนา ที่ถือว่าทานหรือการให้นั้นเป็นเรื่องสำคัญในการที่จะเริ่มหล่อหลอมจิตใจของคน ให้อยู่ในศีลในธรรมได้ การให้ทานที่ผู้ให้ทำไปโดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อนย่อมทำให้เกิดความสุข ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้รับมีความสุข จึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำความดี และยังเป็นบุญกุศลอีกด้วย
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย ทรงมีพระราชปณิธานไว้ว่า “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์” อันเป็นสิ่งที่แพทย์และผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุข ต่างก็ยึดไว้เป็นหลักปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ที่ป่วย ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งกายและใจเกิดขึ้น เพื่อให้หายจากโรคและกลับมามีความสุขอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าคุณโตโน่ไม่ได้เป็นแพทย์ แต่สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นก็สอดคล้องกับพระราชปณิธานดังกล่าว อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า เขาได้ถือประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ด้วยการเสียสละทำภารกิจที่มีความเสี่ยงพอสมควร โดยอาจจะเป็นอันตรายจนถึงกับเสียชีวิตได้
ขอให้บุญกุศลที่เขาได้รับจากโครงการ ONE MAN AND THE RIVERหนึ่งคนว่ายหลายคนให้ รวมทั้งผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินทั้งหลายจงประสบแต่โชคดีมีชัยโดยตลอดไป อานิสงส์แห่งการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วยนั้นมีอยู่มากมายมหาศาล สิ่งที่น่านำมาคิดประการหนึ่ง จากสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ซึ่งสามารถจะระดมเงินบริจาคได้ถึงประมาณ 70ล้านบาทนั้น น่าสนใจว่ามาจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นจำนวนคนเท่าใด ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ใช่มาจากประชาชนทั่วประเทศ แต่ถ้านำมาลองคิดเล่นๆ ว่า หากมีเรื่องใดๆที่ต้องระดมทุนช่วยเหลือประมาณ 70 ล้านบาทนั้น แล้วคนไทยทุกคนซึ่งมีจำนวนประมาณใกล้ๆ 70ล้านคนเช่นกัน มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคคนละ 1 บาท ก็สามารถจะระดมทุนได้ถึง 70 ล้านบาทได้
ชาวนครพนมรวมทั้งชาวลาวในแขวงคำม่วน คงจะมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเงินที่ได้จากการบริจาคดังกล่าว ได้ถูกมอบให้กับโรงพยาบาลเพื่อดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ขาดแคลน ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าอุปกรณ์ที่จะจัดซื้อหลายชนิดนั้นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วย ทั้งในภาวะฉุกเฉิน และในภาวะต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาวนครพนมและชาวลาวในแขวงคำม่วนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประชาชนทุกคนที่จำเป็นต้องเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งสองแห่งนั้นอีกด้วย
สำหรับเรื่องโรคโควิด-19 ซึ่งถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง ในคอลัมน์นี้มาโดยตลอดนั้น สถานการณ์ของโรคนี้ในประเทศไทย ก็ยังคงดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เปลี่ยนแปลงวิธีการรายงานผู้ป่วยจากที่เคยรายงานทุกวันมาเป็นรายงานทุกสัปดาห์โดยพบว่า ในสัปดาห์ล่าสุดนั้นจำนวนผู้ป่วย ที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล หากคำนวณเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 370 ราย และมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 5 ราย ซึ่งน้อยมากหากนำมาเทียบกับ ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางท้องถนน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายเดือนตุลาคมนี้มีผู้บาดเจ็บสะสมมากกว่า 750,000 ราย และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 11,000 ราย หรือคิดเป็นตัวเลขเฉลี่ยการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณวันละ 40 ราย
อย่างไรก็ตาม โรคโควิด-19 ก็ยังมีการระบาดอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าความรุนแรงของโรคจะลดน้อยลงก็ตาม การฉีดวัคซีนในกลุ่มประชากรที่ได้รับการฉีดมาแล้วคือ เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ในทุกช่วงอายุ ควรจะต้องได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นให้ครบทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่เรียกว่ากลุ่ม 608 ซึ่งควรจะได้รับการฉีดถึงเข็มที่ 4 โดยขณะนี้จำนวนรวมของวัคซีนที่ได้รับการฉีดไปแล้วมีทั้งหมดมากกว่า 143 ล้านโดส และก็ยังมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ได้มีการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยอีก2 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้
ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้อนุมัติให้สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนจนถึง 4 ขวบได้แล้ว โดยเริ่มฉีดมาตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา และถือว่าเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กในช่วงอายุดังกล่าวควรจะต้องให้ความสนใจ เนื่องจากมีการตรวจพบว่า ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19จากเชื้อโอมิครอนมากนั้น พบว่าเด็กในกลุ่มอายุดังกล่าวมีการป่วยและมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเด็กโตถึง3 เท่า โดยมีผู้ป่วยเด็กเกิดขึ้นมากกว่า 3.6 แสนราย ในจำนวนนี้ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลเกือบ1 แสนราย มีอาการปอดบวมรุนแรงเกือบ 1,000 รายและเสียชีวิตไปมากกว่า 65 ราย
วัคซีนที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ฉีดกับเด็กในช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ขวบตามที่กล่าวไปแล้ว เป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ ซึ่งจะบรรจุในขวดซึ่งมีฝาจุกสีแดง แตกต่างจากวัคซีนที่ใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไปซึ่งเป็นวัคซีนที่บรรจุในขวดซึ่งมีฝาสีส้ม โดยการฉีดนั้นให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง ขนาดของวัคซีนที่ใช้ฉีด จะมีขนาดเพียงแค่ 3 ไมโครกรัม เป็นจำนวน 0.2 มิลลิลิตร และจะต้องฉีด 3 เข็ม โดยหลังจากฉีดเข็มที่ 1 แล้ว 1 เดือนจึงจะฉีดเข็มที่ 2 และหลังจากนั้นอีก 2 เดือนจึงจะฉีดเข็มที่ 3 ได้ มีข้อกำหนดว่าหลังจากการฉีดจะต้องสังเกตอาการอย่างน้อย 30 นาที และติดตามดูอาการจนครบ 1 เดือน
วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดงที่ใช้ฉีดเด็กเล็กนี้ ได้มีการใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยมีการฉีดและติดตามอาการมาแล้วมากกว่า 1 ล้านโดส พบว่ามีผลข้างเคียงน้อยกว่าเด็กโต ไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงถึงเสียชีวิต ถือว่าปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ MIS-C หลังการติดเชื้อโควิดด้วย โดยเกิดการอักเสบของอวัยวะหลายอวัยวะอย่างรุนแรง และหากมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วยก็อาจจะนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ขอย้ำว่าหากโรคโควิด-19นี้ยังมีการระบาดอยู่ การฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กป่วยหนักได้ และลดความเสี่ยงต่อการที่พ่อแม่และผู้สูงอายุในบ้านจะติดโรคได้ด้วย
ในส่วนของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเด็กจำนวนมาก ก็ได้ให้ความเห็นว่าเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจนถึง 4 ขวบ ควรจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และได้ชี้ให้เห็นถึงผลดี อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยอาการข้างเคียงของการฉีดวัคซีนนี้จะมีเพียงแค่อาการไข้หรือปวดเมื่อยตามตัวเท่านั้น ไม่พบอาการรุนแรงแต่อย่างใด และวัคซีนโควิด-19 นี้ยังฉีดร่วมกับวัคซีนชนิดอื่นๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับเด็กเล็กๆ ได้ด้วย
พ่อแม่และผู้ปกครองที่สนใจจะนำเด็กในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 4 ขวบไปฉีดวัคซีนดังกล่าว สามารถจะติดต่อขอรับการฉีดได้ที่สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับและทุกแห่ง รวมทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและกรุงเทพมหานครได้กำหนดไว้ทั่วประเทศ
การป้องกันโรคถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการรักษา วัคซีนทุกชนิดเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันโรค และปัจจุบันมีวัคซีนอยู่หลากหลายชนิดที่ใช้ฉีด ทั้งในทารก เด็กเล็ก วัยรุ่น วัยกลางคน จนกระทั่งผู้สูงอายุ วัคซีนบางชนิดป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้เลย และวัคซีนอีกหลายชนิดอาจจะป้องกันการเป็นโรคไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการที่ไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
สำหรับวัคซีนโควิด-19 นั้นปัจจุบันต้องถือว่าสามารถจะใช้ฉีดครอบคลุมได้ทุกช่วงอายุ จึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่สำหรับโรคโควิด-19นั้น นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์ และการหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมากยังเป็นเรื่องที่จำเป็น ต่อการที่จะป้องกันการติดเชื้อโรคนี้ได้เป็นอย่างดี
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี