เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญเริ่มเห็นก้าวขยับทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ที่เป็นแบบพลเอกประยุทธ์คนเดียวมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น ซึ่งกลายเป็นส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสังกัดของบรรดาสส.ที่ก่อนหน้านี้ยังลังเล?
ไม่ใช่เพียงแค่ สส. เท่านั้นที่กำลังประเมินต้นสังกัดเดิม และอาจนำไปสู่การมองหาต้นสังกัดใหม่ แต่พรรคการเมืองที่ดูจะขยับมากหน่อยในช่วงนี้อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้การนำทัพของนายพีระพันธุ์ ที่ได้ลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี แต่สิ่งที่น่าจับตามองนั้นคือ การลงพื้นที่ของพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้ นอกจากที่จะมีอดีตขุนพลจากพรรคประชาธิปัตย์ร่วมด้วยแล้ว ยังมีรายงานว่า นางสาวรัตนาวรรณ สุขศาลา อดีตประธาน นปช. จังหวัดอุดรธานี เป็นแม่งานคนสำคัญในการจัดงานพบปะครั้งนี้ และยังมีรายงานว่า มีสมาชิก นปช. อีกจำนวนหนึ่งตบเท้า เข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติอีกด้วย
ซึ่งก็น่าสนใจว่าการตัดสินใจของอดีตแกนนำ นปช. นั้น จะเป็นแรงเสริมให้พรรครวมไทยสร้างชาติสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในภาคอีสานอันเป็นถิ่นฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทยได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยเองก็ดูจะต้องการขยายขอบเขตพื้นที่ของตนอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ บอกได้เลยว่าพื้นที่ตลาดสส.อีสานตอนนี้คงได้มีการเขย่ากันใหม่อีกรอบแน่นอน และคงไม่ง่ายสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะแลนด์สไลด์ไปอีกขั้น
ไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยเองก็เริ่มมีการขยับเพื่อแก้เกม โดยได้จัดแถลงต้อนรับอดีตแกนนำ นปช. คนสำคัญเข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อดึงคะแนนเสียงจากมวลชน และภาพความเป็นนปช.ว่ายังอยู่เหนียวแน่นกับเพื่อไทย? อย่างไรก็ตามเท่ากับว่า ณ ตอนนี้ อดีตแกนนำ นปช. อาจแตกเป็นสองสายอย่างชัดเจน และแม้ว่าในแถบภาคอีสานความเข้มข้นของ นปช. ที่ปัจจุบันไปสังกัดอยู่พรรคเพื่อไทยแลดูจะมีความเข้มข้นมากกว่า แต่ในภาพรวมแล้ว การที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีขุนพลจากหลากหลายที่มา ทำให้ภาพใหญ่ดูจะได้เปรียบมากกว่าหรือไม่? แต่อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นปช.แตกออกจากเพื่อไทย และการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี’62 นปช.ที่แตกออกไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก เว้นบางพื้นที่ที่มีแกนนำเข้มแข็ง
แม้การร่วมมือระหว่างอดีตแกนนำ นปช. และรวมไทยสร้างชาตินั้น อาจถูกจับไปโยงกับชื่อของนายเสกสกล หรือแรมโบ้อีสานอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนเกิดชุดความคิดที่ว่า นายเสกสกลอาจหวนคืนกลับเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่? เพราะอย่าลืมว่านายเสกสกล ก็เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการเกิดของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนที่จะถูกพิษหวยอลเวงพาให้ต้องถอย ก่อนที่กระแสข่าวดังกล่าวจะเงียบไป แต่ล่าสุดนี้เองนายเสกสกลก็ได้หวนกลับคืนสู่หน้าม่านอีกครั้ง ในฐานะหัวหน้าพรรคเทิดไท และได้ย้ำถึงจุดยืนของพรรคนั่นก็คือการสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกในภายภาคหน้า
แม้ว่าในท้ายที่สุดนายเสกสกลจะไม่ได้กลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคที่ตนเองได้เคยมีส่วนร่วมในการจัดตั้ง แต่เมื่อได้แรงหนุนจาก อดีต นปช.อุดรธานี เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็อาจจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติน่าจะพอมีแต้มในการต่อสู้อยู่บ้าง ซึ่งการเปิดรับอดีต นปช. เข้าสู่พรรคนั้น ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงแนวทางของพรรคที่เปิดกว้าง พร้อมรับกับสมาชิกใหม่ ไม่ว่าจะเคยสังกัดใดมาก่อนก็ตาม ซึ่งก็น่าสนใจว่าการร่วมงานระหว่างอดีตแกนนำ กปปส. และ อดีตแกนนำ นปช. ภายใต้สังกัดใหม่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเป็นเช่นไรต่อไป
แม้ในพรรครวมไทยสร้างชาติจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในพรรคการเมืองก่อตั้งใหม่ที่มาแรงแซงทุกพรรค อีกทั้งยังพบกระแสข่าวเชื่อมโยงถึงพลเอกประยุทธ์อยู่เสมอ และส่วนตัวของนายพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ดูจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพลเอกประยุทธ์อยู่พอสมควร จนถึงขนาดที่ปรากฏข่าวการแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ ให้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากระแสข่าวดังกล่าวจะมีมูลมากเพียงใด เพราะล่าสุดนี้นายพีระพันธุ์ ก็ได้ออกมาสงวนท่าทีในการรับความรับผิดชอบต่อตำแหน่งดังกล่าว และแม้ในรอบครม.ที่ผ่านมายังไม่ปรากฏชื่อ แต่หากในอนาคตนายพีระพันธุ์เกิดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดังที่มีกระแสข่าวจริง เท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์ ได้เริ่มทำการปรับเปลี่ยนคู่หูคู่คิด จากมือบริหารอย่างนายดิสทัตโหตระกิตย์ เป็นโปรทางการเมืองอย่างนายพีระพันธ์ุแทน ก็น่าสนใจว่าการเดินเกมของพลเอกประยุทธ์จะเป็นหนึ่งในคำตอบของอนาคตทางการเมืองของตนเองหรือไม่? อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่นานนักพลเอกประยุทธ์ก็เพิ่งจะทำการแต่งตั้งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จนเป็นที่มาของการที่สื่อมวลชนต่างพากันวิเคราะห์กันว่าพลเอกประยุทธ์เริ่มจัดกระบวนทัพ โดยเอาเพลย์เมคเกอร์หรือผู้เป็นคีย์แมนคนสำคัญไปไว้ใกล้ตัวหรือไม่? และคีย์แมนคนสำคัญก็ต่างบังเอิญวนเวียนรอบๆ พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่?
เมื่อสถานการณ์และปัจจัยรอบด้านล้วนบ่งชี้ ในทำนองที่ว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด พรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะเป็นสถานีต่อไปของพลเอกประยุทธ์ คำถามคือเมื่อใดกันเล่าที่พลเอกประยุทธ์ จะยอมให้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับพรรครวมไทยสร้างชาติกันแน่? หรือช่วงเวลาในตอนนี้อาจยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการเปิดตัวที่สุดกันแน่? เพราะในช่วงที่ผ่านมาก็มักจะพบการเปิดตัวของพรรคการเมืองต่างๆ ที่แรกๆ ก็ดูจะเป็นกระแสและสร้างความน่าสนใจไม่ใช่น้อย ก่อนที่กระแสดังกล่าวจะเงียบหายและซาลงไป อย่างในรายของพรรคเพื่อไทยที่ได้แต่งตั้งหัวหน้าครอบครัวอย่างแพทองธาร ซึ่งก็ได้สร้างขวัญและกำลังใจที่ดีไม่น้อยทั้งต่อแฟนคลับและสมาชิกพรรคเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่ากระแสดังกล่าวอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนครั้งนางสาวยิ่งลักษณ์
อีกหนึ่งเหตุผลที่พรรครวมไทยสร้างชาติอาจยังไม่เร่งเปิดตัว VIP คนสำคัญของพรรค ก็อาจเป็นเพราะในตอนนี้แม้โครงสร้างของพรรครวมไทยสร้างชาติจะดูเป็นรูปเป็นร่างไม่ใช่น้อย แต่ก็อย่าลืมว่าหากเป้าหมายสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติคือต้องการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหนึ่งคำรบ ก็อาจต้องมีความพร้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่?
หากว่ากันตามหลักแล้วแม้โครงสร้างของพรรครวมไทยสร้างชาติจะดีเพียงใด แต่ด้วยความที่เป็นพรรคก่อตั้งใหม่ ไม่ได้มี สส. อยู่ในสังกัดเป็นทุนเดิม ดังนั้นแม้จะมีการทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคในพื้นที่ต่างๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพร้อมในการลงแข่งขันเมื่อเทียบพรรคการเมืองอื่นๆ พรรครวมไทยสร้างชาติจึงอาจยังไม่ได้เปรียบมากนักในเวลานี้ และหากเปิดตัว VIP ของพรรคในเวลาที่ความพร้อมยังถึงเกณฑ์ ก็อาจทำให้ทุกสิ่งอย่างที่เตรียมพร้อมมา ไม่เข้าเป้าอย่างที่หวังหรือไม่?
ตอนนี้คงเหลือแค่เวลาเท่านั้น?
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากที่พรรครวมไทยสร้างชาติดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องโครงสร้างของพรรคจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็คงเดินหน้าอย่างเต็มกำลังในการส่งเทียบเชิญ สส. จากสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ อย่างเต็มกำลัง ซึ่งหลักๆ ถูกมองว่าพุ่งเป้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ในตอนนี้กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งคะแนนความนิยมของพรรคที่กำลังถูกตั้งคำถามจากบรรดาสื่อมวลชนว่ากำลังเข้าสู่ช่วงขาลงหรือไม่? อีกทั้งนายพีระพันธ์ุก็เคยสังกัดอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จึงน่าจะพอเป็นแม่เหล็กดึงดูด สส. จากพรรคการเมืองสีฟ้ามาได้อยู่บ้างหรือไม่?โดยเฉพาะ สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่เขตภาคใต้ ที่คะแนนนิยมส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และหากพลเอกประยุทธ์ตัดสินใจมาสังกัดอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะสามารถเรียกคะแนนความนิยมจากประชาชนชาวด้ามขวานได้ไม่น้อย
อีกหนึ่งพรรคการเมืองที่อาจถูกพรรครวมไทยสร้างชาติดึง สส. เข้ามาร่วมทีมคงหนีไม่พ้นพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ สส. ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพลเอกประยุทธ์ ก็อาจติดสอยห้อยตามพลเอกประยุทธ์ไปหรือไม่?อย่างเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีข่าวลั่นสะท้านเวทีการเมือง นั่นคือการที่เสี่ยเฮ้งหรือนายสุชาติ ชมกลิ่นที่ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ และสิ้นสภาพการเป็นผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐในที่สุด ซึ่งก็มีหลายฝ่ายต่างลงความเห็นตรงกันว่าการลาออกจากการเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะเป็นหนึ่งในว่าที่ขุนพลคนใหม่ป้ายแดงของพรรคใดหรือไม่?
การยื่นหนังสือลาออกจากกรรมการบริหารพรรคของนายสุชาติ ก็ไม่พ้นถูกจับไปโยงกับพลเอกประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่ามีการกดดันให้นายสุชาติ ต้อง
ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคหรือไม่? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเชื่อว่าการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคของนายสุชาติ ก็น่าจะเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งด้วยดีมากกว่า ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้พลเอกประวิตรก็ได้มีการให้สัมภาษณ์ในเชิงเปรยกับนักข่าวว่าพลเอกประยุทธ์กับตนเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นหาก สส. ในสังกัดพรรคของตนย้ายไปอยู่กับ สส. ในสังกัดของน้องชายคนเล็กก็คงไม่น่าจะมีปัญหาเช่นกันหรือไม่? โดยเฉพาะเมื่อพลเอกประวิตรเอ่ยปากว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปรียบเสมือนพันธมิตรของพรรคพลังประชารัฐ?
อย่างไรก็ตาม จากคำสัมภาษณ์ของพลเอกประวิตร ที่ดูจะไม่ได้มีปัญหาหากพลเอกประยุทธ์จะเลือกเดินในเส้นทาง
ของตน ก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงแค่การแยกเส้นทางกันเดินเพียงเท่านั้น แต่จุดหมายปลายทางอาจวนกลับมาพบกันอีกหรือไม่? ยิ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ที่มติของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา ชี้ไปที่การหารด้วย 100 ก็อาจมองได้ว่านับถอยหลังเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้หรือไม่?
แต่ไม่ว่าการแยกทางกันเดินของพี่ใหญ่และน้องเล็กจะมีต้นสายปลายเหตุอย่างไรก็ตาม การแยกเส้นทางกันเดินระหว่างพี่ใหญ่และน้องเล็ก ก็น่าจะเป็นชนวนในการเร่งเวลาให้ สส. ย้ายพรรค ซึ่งความชัดเจนทั้งหมดก็น่าจะเป็นรูปเป็นร่างในช่วงหลังปีใหม่ และเชื่อว่าหลังปีใหม่ สส. จากสังกัดพรรคพลังประชารัฐหรือแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็อาจถูกข้อจำกัดหลายๆ ประการให้ต้องเลือกว่าท้ายที่สุดจะไปสังกัดพรรคการเมืองใดกันแน่?
คนที่น่าจะยากลำบากที่สุดตอนนี้จึงน่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่จะต้องหยุดกระบวนการไหลออกของเลือดให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้หรือไม่?
เช่นเดียวกันระหว่างช่วงเวลา ณ ตอนนี้ จนถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลายุทธศาสตร์สำคัญ ทั้งเป็นช่วงเวลาปลายปีและปลายสมัยรัฐบาล อีกทั้งไม่กี่วันที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ก็ได้ให้สัมภาษณ์ต่อบรรดาสื่อมวลชน ถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี และไม่กี่วันหลังจากที่สิ้นเสียงสัมภาษณ์การกระทำก็ตามมาทันที ซึ่งเมื่อเป็นช่วงโค้งสุดท้ายปลายสมัยรัฐบาลเช่นนี้ ทุกการขยับเก้าอี้ ทุกการโยกย้ายล้วนแล้วแต่จะเป็นประเด็นทางการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งทีแรกหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าพลเอกประยุทธ์จะขยับหลายตำแหน่งเพื่อปรับฐานอำนาจ หากแต่ความจริงแล้วเป็นการปรับเพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างเท่านั้น?
หากพูดถึงการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้วหนึ่งในพรรคการเมืองที่น่าจะรอจนคอแห้ง ก็คงหนีไม่พ้นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งแต่ยื่นเรื่องมาก็เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือน
นับจากมีการเสนอชื่อ นายนริศ ขำนุรักษ์ ขึ้นเป็นว่าที่ รมช.มหาดไทย แต่กลับไม่มีความคืบหน้า จนในที่สุดนายนริศก็ได้นั่งเก้าอี้ รมช. มหาดไทย อย่างที่หมายมั่นไว้
อีกหนึ่งเคสที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน คือ โควตาของพรรคพลังประชารัฐที่แต่เดิมนั้นว่างอยู่อีก 2 เก้าอี้ หนึ่งในนั้นคือ เก้าอี้ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งแต่เดิมเป็นของร้อยเอกธรรมนัส แต่ล่าสุดนี้ก็ได้มีการแต่งตั้งนายสุนทร ปานแสงทอง สส. กลุ่มปากน้ำจากสังกัดพรรคพลังประชารัฐขึ้นดำรงตำแหน่ง
ขณะที่อีกหนึ่งโควตาของพรรคพลังประชารัฐ ที่แต่เดิมเป็นของนางสาวนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พลเอกประยุทธ์ก็ได้ปรับตำแหน่งนี้มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้นายธนกร วังบุญคงชนะ ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งนายธนกรก็เคยผ่านตำแหน่งโฆษกรัฐบาลเช่นเดียวกับนางสาวนฤมลเพียงแต่นายธนกร มีความใกล้ชิดพลเอกประยุทธ์ขณะที่นางสาวนฤมลถือเป็นผู้ช่วยสำคัญของพลเอกประวิตร
เมื่อการปรับ ครม. เกิดขึ้นแบบนี้ในช่วงเวลานี้แล้วก็น่าจะเป็นการปิดประตูการปรับครม.ที่เหลือที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกจนกว่าจะหลังเลือกตั้งปีหน้า ที่เหลือจึงนับเวลาถอยหลังไปที่รัฐสภาให้ต้องจับตาการเร่งกระบวนการออกกฎหมายเลือกตั้งหลังจากนี้
“ในโลกความจริงไม่มีเรื่องโชคช่วยที่แท้จริง และต้องไม่มีเคราะห์ร้ายที่แท้จริงด้วย
ระยะของโชคและเคราะห์ ความจริงก็พิสดารอย่างยิ่ง
ดังนั้น หากท่านพบพานกับเรื่องเคราะห์ อย่าได้ตัดพ้อตำหนิ อย่าได้ท้อแท้เป็นอันขาด
แม้นับว่า ท่านถูกเคราะห์จู่โจมจนล้มลงก็มิเป็นไร เนื่องเพราะขอเพียงท่านยังมีชีวิต
ท่านก็ต้องยังมีเวลาทรงกายขึ้นยืนได้”
โกวเล้ง จาก เดชขนนกยูง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี