จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีรากเหง้าความเป็นมามาจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน เมื่อครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น ณ ตึกยาวข้างประตูพิมานไชยศรี ในเขตพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ.2442 แล้วต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2445 วัตถุประสงค์ของโรงเรียนนี้คือผลิตบุคลากรเพื่อให้รับราชการ โดยในยุคนั้นจำเป็นต้องตระเตรียมข้าราชการจำนวนมาก หลังจากทรงมีพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเมื่อ พ.ศ. 2425
ครั้นต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระบรมราโชบายในสมเด็จพระบรมชนกาธิราชเจ้า
ที่ทรงต้องการให้สยามมีสถาบันอุดมศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2453 แล้วในกาลต่อมา เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นเป็นลำดับ ประชาชนมีความต้องการเล่าเรียนศึกษาในขั้นที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถนำวิชาการความรู้ไปประกอบสัมมาชีพต่างๆ ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2459 เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติยศแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเพื่อให้การศึกษาระดับสูงของสยามมีความมั่นคง ก้าวหน้า ขยายออกไปมากยิ่งขึ้น
โดยในครั้งแรกเริ่มสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ปวงราษฎรร่วมกันบริจาคเงินได้ที่จากการเรี่ยไรเพื่อนำไปสร้างพระบรมรูปทรงม้า โดยมีเงินเหลืออยู่ 982,672.47 บาท โดยทรงมีพระบรมราชานุญาตให้นำเงินดังกล่าวไปใช้ก่อสร้างอาคารเรียนและตึกบัญชาการบนที่ดินพระคลังข้างที่ พื้นที่ทั้งหมด 1,309 ไร่ ในเขตอำเภอปทุมวันโดยเงินที่เหลือจากการสร้างอาคาร ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำไปใช้เพื่อบำรุงกิจการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อไป
จากวันวานนานโพ้นจวบจนบัดนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง เพราะได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดีจากสาธารณชน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้ร่ำเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยความจงรักภักดี และความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทำให้สาธารณชนต่างร่วมใจรักษาและสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสืบเนื่องมา
เมื่อพูดถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญนอกเหนือจากพระนามจุฬาลงกรณ์แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ พระเกี้ยว
พระเกี้ยวคือตราสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยตราพระเกี้ยวนี้ถือเป็นตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น
การอัญเชิญตราพระเกี้ยวมาเป็นตราประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นการแสดงออกถึงความระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ท่าน และที่สำคัญคือตราพระเกี้ยวคือตราพระราชทานที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์จากพระเกี้ยวเป็นตราสัญลักษณ์อื่นใด จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นตราพระราชทานเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกเสียจากได้ขอพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ แล้วได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ดังนั้น ใครผู้ใดก็ตามที่ใช้อำนาจโดยพลการกระทำการเปลี่ยนแปลง ดัดแปลง ตัดแต่ง ต่อเติมตราสัญลักษณ์พระเกี้ยวให้เป็นรูปแบบอื่น หรือดูแล้วเสมือนหรือคล้ายพระเกี้ยว แต่ทว่าไม่คงความเป็นพระเกี้ยวโดยแท้จริงไว้ นับได้ว่าเป็นการกระที่น่าจะขัดต่อพระราชบัญญัติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและยังแสดงให้เห็นชัดว่าไม่ถวายความเคารพต่อพระผู้ทรงพระราชทานกำเนิดแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างชัดเจน
ขอย้อนไปกล่าวถึงความสำคัญของพระเกี้ยวอีกครั้งหนึ่ง พระเกี้ยวคือศิราภรณ์ของพระราชวงศ์ชั้นสูงระดับพระราชโอรส พระราชธิดาในพระมหากษัตริย์ และเมื่อกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แล้วตราพระเกี้ยว คือ พิจิตรเลขาประจำพระองค์
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ จุฬาลงกรณ์ อันมีความหมายว่าเครื่องประดับพระเศียร หรือจุลมงกุฎ
อนึ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศสยาม หรือประเทศไทยในปัจจุบัน โดยมีรากเหง้าดั่งเดิมและถือกำเนิดด้วยพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงมีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยคือ พระเกี้ยว
เมื่อดูความจากพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ในหมวด 1 บททั่วไป มาตรา 7 ระบุว่าให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาทางวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐานขี้นเพื่อเป็นพระอนุสาวรีย์สมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีวัตถุประสงค์ที่จะบุกเบิก แสวงหา และเป็นคลังความรู้ ให้การศึกษา ส่งเสริม ประยุกต์และพัฒนาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง สร้างบัณฑิตวิจัย เป็นแหล่งรวมสติ ปัญญา และบริการทางวิชาการแก่สังคม รวมทั้งสืบสานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
มหาวิทยาลัยมุ่งหวังให้บัณฑิตของมหาวิทยาลัยมีคุณธรรมกำกับความรู้ เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและจริยธรรม ใฝ่รู้ กอปรด้วยวิจารณญาณ จิตใจเสียสละ และความสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ในหมวดแปด บทกำหนดโทษ ระบุในมาตรา 70 ว่า ผู้ใด
(1) ปลอม หรือทำเลียบแบบซึ่งตราหรือสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยหรือส่วนงานของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะทำเป็นสีใด หรือทำด้วยวิธีใด ๆ
(2) ใช้ตรา เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย หรือส่วนงานของมหาวิทยาลัยปลอมหรือซึ่งทำเลียนแบบ หรือ
(3) ใช้ หรือทำให้ปรากฏซึ่งตรา เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย หรือส่วนงานของมหาวิทยาลัยที่วัตถุหรือสินค้าใดๆ โดยฝ่าฝืนมาตรา 67วรรค 3 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้น เมื่อพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากพระเกี้ยวเป็นตราเสมือนพระเกี้ยว อันเกิดมาจากโครงการ Re-Branding CHULA จึงทำให้เกิดคำถามว่า การกระทำใดๆ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์พระเกี้ยว เป็นสิ่งที่กระทำได้หรือ แล้วถ้ายิ่งเป็นการกระทำโดยไม่สอดคล้องตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีคำถามว่าสามารถเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้โดยพลการหรือ ผู้กระทำการ
โดยพลการคือผู้กระทำผิดพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช่หรือไม่
ประเด็นนี้ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำไมจึงปล่อยให้เรื่องไม่บังควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์พระเกี้ยวเป็นตราเสมือนพระเกี้ยว และการปล่อยให้นิสิตรายหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ นำพระเกี้ยวไปกระทำการหยามเกียรติ และเหตุใดจึงปล่อยให้องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปลี่ยนตราพระเกี้ยวเป็นรูปว่าวจุฬา
คำถามคือ นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีสำนึกในความรับผิดชอบต่อเกียรติยศของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี