วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ทำไมคน (ไม่ฉลาด) จึงเชื่อว่าโลกนี้มีของฟรี ทั้งๆ ที่คนคน นั้นไม่เคยให้ของฟรีกับใครแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งคนจำพวกดังกล่าวต้องเลี้ยงดูลูก ก็ยังหวังว่าวันหนึ่งในอนาคต ลูกจะต้องกลับมาเลี้ยงดูตน (แต่จริงๆ การกตัญญูเป็นสิ่งดีที่มนุษย์จำเป็นต้องเคร่งครัด)
คน (โง่มากๆ) หลงเชื่อว่ารัฐบาลให้ของฟรีกับพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่ความจริงของฟรีต่างๆ ที่รัฐบาลโกหกว่าให้กับประชาชน ก็ไม่ใช่ของฟรี แต่มันมาจากภาษีอากร และมาจากเงินกู้ ซึ่งก็หมายความว่าประชาชนต้องจ่ายภาษีและต้องรับภาระชดใช้เงินกู้ที่รัฐบาลก่อหนี้ไว้ แต่ก็น่าสมเพชที่ยังมีคน (โง่) ยังหลงเชื่อว่ารัฐบาลให้ของฟรี แต่ก็เข้าใจได้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะบอกว่าตนเองไม่ได้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคลประจำปี แต่พวกเขาก็คงลืมไปว่าพวกเขาต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญคือเขายังต้องรับภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลบานตะไทที่รัฐบาลทุกรัฐบาลจงใจก่อไว้ โดยรัฐบาลมักจะมีข้ออ้างในการก่อหนี้ต่างๆ นานาสารพัด แต่ก็ต้องย้ำว่ามันก็คือหนี้ และที่สำคัญคือคนไทยทุกคนก็ต้องร่วมกันชดใช้หนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้น
น่าประหลาดใจเหลือเกินที่คนไทยจำนวนหนึ่งพากันหลงใหลได้ปลื้มกับคำว่า 30 บาท รักษาฟรีทุกโรค ขอย้ำว่าของฟรีไม่มีบนโลก และรัฐบาลก็ไม่เคยให้ของฟรีกับประชาชน บางคนอาจเถียงว่า ก็ไม่ได้ของฟรีนะ เพราะต้องเสีย 30 บาท แต่คำถามคือ แล้วเคยคิดบ้างไหมว่า ที่อ้างว่าเสียไป 30 บาทนั้น แล้วใครต้องเป็นผู้ชำระหรือชดใช้ส่วนที่เกิน 30 บาท
ก่อนอื่นต้องบอกว่าผู้เขียนไม่ได้คัดค้านหรือต่อต้านการรักษาพยาบาลคนยากจน แต่คัดค้านอย่างเต็มที่กับการที่รัฐบาลทุ่มเงินแบบประชานิยมเพื่อสร้างคะแนนการเมืองแบบไม่ฉลาด โดยการหว่านแจกเงินให้กับคนทุกคน โดยไม่ได้จำแนกแยกแยะให้ชัดเจนว่าใครสมควรจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลฟรี แล้วใครต้องจ่ายเป็นจำนวนเท่าไร ขอย้ำว่าการหว่านแจกเงินไปเรื่อยๆ คือการสร้างความพินาศฉิบหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และทำความวิบัติบรรลัยให้กับประชาชนทุกคนในที่สุด
โลกใบนี้ และประเทศไทยมีคนจน และคนรวยอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลที่มีปัญญาต้องรู้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้น จึงต้องเลือกช่วยคนให้เหมาะสม ไม่ใช่หว่านแจกเงินไปเรื่อยๆ เพื่อหวังคะแนนนิยมการเมือง หรือหวังให้ตนเองได้เป็นรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นรัฐบาลผลาญชาติ สร้างความวิบัติบรรลัยให้ประเทศชาติ และทำให้ประชาชนทุกคนเดือดร้อน
ประเทศไทยมีโครงการรักษาคนยากคนจนโดยไม่เก็บเงินค่าบริการทางการแพทย์มานานแล้ว แม้จะไม่สามารถให้บริการคนยากคนจนได้ทุกคนก็ตาม แต่ก็ต้องยืนยันว่ามีการรักษาผู้ป่วยอนาถามานานแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งก็มีนักการเมืองจอมโลภต้องการหาเสียงกับคนโง่ที่เต็มไปด้วยความโลภ และความเห็นแก่ตัว โดยนักการเมืองจอมโกงออกนโยบายมอมเมาประชาชน ดังการอ้างว่าต่อไปนี้ไม่ว่าประชาชนทุกคนจะป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม ก็สามารถไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐ หรือสถานบริการของรัฐ โดยจ่ายเงินเพียง 30 บาท ก็จะได้รับการรักษาทุกโรค เมื่อนโยบายประชานิยมนี้แพร่กระจายไปยังคนโลภ ก็ปรากฏว่าคนโลภพากันแห่ไปใช้บริการ 30 บาท รักษาทุกโรค จนทำให้โรงพยาบาลรัฐขาดทุนย่อยยับ ก่อให้เกิดวิกฤตการเงินขั้นสาหัสกับโรงพยาบาลของรัฐจำนวนไม่น้อย
ขอย้ำว่าล่าสุดกองทุนบัตรทอง มีเงินเหลือเพียง 4 หมื่นล้านบาท ข้อมูลนี้มาจากนายแพทย์ วีรพันธ์ สุวรรณามัย รองประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา บอกว่า เรื่องจริง อีกสามปี ระบบสาธารณสุขจะพัง แต่ประชาชนยังไม่รู้ตัว เพราะกองทุนบัตรทองเหลือเพียง 4 หมื่นล้านบาท จากเดิม 8 หมื่นล้านบาทในช่วงก่อนโควิด หากไม่เร่งแก้ไข ระบบรักษาฟรีอาจสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน มีข้อมูลจากงานสัมมนา ทิศทางการดำเนินงานระบบบัตรทองในปัจจุบันและอนาคต ที่ระบุว่าโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก มี 218 แห่งที่เงินบำรุงติดลบ และอีก 91 แห่งเหลือเงินไม่ถึง 5 ล้านบาท ซึ่งน้อยเกินกว่าจะรับมือกับวิกฤตใดๆ ได้เพราะต้นทุนเฉลี่ยของการรักษาผู้ป่วยใน อยู่ที่ 13,000 บาทต่อราย แต่ สปสช. จ่ายให้แค่ 7,100 บาทเท่านั้น (ข้อมูลของปี 2568) หมายเหตุ สปสช. คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)
คนไทยต้องได้รับความวิบัติเสียหายอย่างสาหัส เพราะมีนักการเมืองเลวทรามต่ำช้า ฉ้อฉล ดีแต่หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความวิบัติล่มจมของประเทศชาติ ส่วนคนไทยจำนวนไม่น้อยก็เห็นแก่ได้ ไม่คำนึงถึงหลักความจริงที่ว่า ของฟรีไม่มีบนโลกใบนี้ แต่คนไทยจำพวกเห็นแก่ได้ มักมากกลับยินดีช่วยกันล้างผลาญประเทศ ด้วยการหลงใหลไปกับคำโกหกของนักการเมืองเลวๆ ถามจริงๆ เถอะ คนไทยจำพวกเห็นแก่ได้ ไม่เคยคิดถึงอนาคตของประเทศบ้างเลยหรือ
มีเรื่องจะเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมของคนไทยจำพวกเห็นแก่ได้ ดังนี้ ผู้เขียนได้ยินสตรีนางหนึ่งบอกว่าตนเองเป็นเจ้าของร้านขายทอง แล้วไปใช้บริการ 30 บาท รักษาทุกโรค โดยเปลี่ยนกระดูกสะบ้าหัวเข้าสองข้าง นางเล่าเรื่องนี้ด้วยความปรีดาว่า นางใช้บริการ 30 บาท รักษาทุกโรค แล้วนางก็เยินยอพรรคการเมืองที่ออกนโยบายประชานิยมนี้ นางบอกว่าเป็นหนี้บุญคุณของเจ้าของพรรคฯ จึงต้องตามไปลงคะแนนเลือก ส.ส. ให้พรรคนี้ตลอดไป
ถามจริงๆ ว่าทำไมรัฐบาลจึงต้องออกเงินรักษาพยาบาลจำนวนมหาศาลให้กับคนมีฐานะดีอย่างเช่นเจ้าของร้านทองนางนั้น ทั้งๆ ที่นางมีปัญญาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตัวของนาง แต่การที่รัฐบาลโดยพรรคฯ จอมฉ้อฉลออกนโยบายประชานิยม แล้วปล่อยให้เกิดการละเลงละลายเงินของประเทศแบบไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ มันคือการผลาญเงินงบประมาณโดยไม่สมควร
ขอย้ำว่าคนที่มีความสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ก็ต้องจ่ายด้วยตัวเอง รัฐบาลไม่ต้องแบกรับภาระของคนทุกคน โดยเฉพาะคนรวย แต่รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลคนจนที่ไม่มีกำลังความสามารถดูแลตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องมีนโยบายชดเชยคนที่จ่ายภาษีให้รัฐอย่างสมเหตุสมผลด้วย ไม่ใช่ว่าดูแลคนจ่ายภาษีเหมือนๆ กับคนไม่เสียภาษี เพราะรัฐบาลมีรายได้สำหรับดูแลประเทศก็ด้วยภาษีจากประชาชน ดังนั้น คนที่เสียภาษีก็ต้องได้รับสิทธิ์ตามควรแก่กรณี ไม่ใช่เสียภาษีไปแล้วสูญเปล่า แต่สำหรับคนยากคนจนนั้น รัฐบาลต้องพยายามสร้างงานให้กับเขา เพื่อให้เขามีรายได้สำหรับดำรงชีพตามอัตภาพ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งไม่เสียภาษีจะได้รับสิทธิ์ใดๆ เทียบเท่ากับผู้เสียภาษี แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลก็ต้องตั้งกองทุนไว้สำหรับดูแลคนยากไร้ ย้ำว่าต้องเป็นคนยากไร้จริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่หว่านแจกไปเรื่อย ไม่ว่ายากไร้ หรือร่ำรวย
รัฐบาลจำเป็นต้องจำแนกให้ได้ว่าใครยากจนจริง หรือใครที่มีปัญญาดูแลตัวเอง แล้วรัฐบาลก็จัดโครงการช่วยเหลือคนจนตัวจริงตามความเหมาะสม แล้วพยายามหางานให้คนจนทำให้ได้ เพื่อให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียวตลอดเวลา ส่วนคนที่มีรายได้ในขั้นที่ต้องจ่ายเงินภาษีเงินได้ส่วนบุคคล รัฐบาลก็ต้องดูแลเขาให้ดีกว่าคนที่ไม่เสียภาษี สิ่งใดที่ผู้มีความสามารถด้านการเงินสามารถจ่ายให้เพื่อดูแลตัวเองได้ ก็ต้องให้เขาจ่ายเอง รัฐบาลไม่ต้องแบกคนกลุ่มนี้ แต่ต้องมีสิ่งชดเชยให้เขาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เสียเงินภาษีไปโดยเปล่าประโยชน์
ขอกลับไปพูดเรื่องโครงการบัตรทองอีกครั้ง และขอย้ำว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหาเงินจะหมดจากระบบให้ได้โดยเร็ว หากยังปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนี้ต่อไป รับรองว่าคนยากจนจำนวนไม่น้อยจะล้มตาย เพราะป่วยด้วยโรคร้ายแรง แต่ไม่มีเงินจากหลวงให้การรักษาพยาบาล สปสช. ต้องเร่งกลับไปทบทวนการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะสูงสุด และต้องตั้งสติให้ดีว่าจะแก้ปัญหาให้ลุล่วงโดยวิธีใด หาก สปสช. ยังคงทำงานตามเดิม ทั้งๆ ที่รู้และเห็นปัญหาอยู่แล้ว ก็หมายความว่า สปสช. ยอมเป็นลูกไล่นักการเมืองที่หากินด้วยนโยบายประชานิยม แต่เป็นประชานิยมที่ทำให้สังคมล่มสลาย
มีความเห็นจากคนไทยจำนวนไม่น้อยบอกว่าระหว่างคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับคำพูดของผู้บริหารระดับสูงของ สปสช. และคำพูดของหมอเหรียญทอง แน่นหนา แห่งโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ คนไทยที่มีสติปัญญาบอกว่าเชื่อคำพูดของหมอเหรียญทองมากกว่าอีกสองหน่วยงาน และบอกว่าหมดยุคแล้วที่จะปล่อยให้นักการเมืองไร้สติสิ้นปัญญาเข้าไปทำหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข


เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี