ภัยสุขภาพที่มีปัญหาอย่างรุนแรงในขณะนี้น่าจะไม่มีเรื่องใดมากไปกว่าเรื่อง มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละออง PM2.5 ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเกือบจะทุกๆ วัน ในช่วง 5-6 วันที่ผ่านมานี้ โดยหากวัดตามดัชนี AQI ตามที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วในคอลัมน์นี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบว่ามีค่า AQI เกินกว่า 100 มาโดยตลอด ไม่ใช่เกิดเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศซึ่งค่าดังกล่าวถือว่าเป็นค่าที่มีปริมาณมาก ถึงระดับที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างแน่นอน จึงเป็นเรื่องที่ทุกท่านต้องพยายามป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด โดยหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งเป็นช่วงเวลายาวนานโดยไม่จำเป็น และหากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจควรจะต้องไปพบแพทย์
ในช่วงระยะ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จะมีข่าวที่อาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด วิตกกังวล และไม่สบายใจออกมาเป็นระยะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิดโดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอ ซึ่งในประเทศไทยก็ได้มีการฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในการฉีดตั้งแต่เข็มที่ 3 หรือที่เรียกว่า Booster dose เป็นต้นมา
มีคลิปจากต่างประเทศอย่างน้อย 2 คลิปที่ถูกนำมาเผยแพร่จนเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันทั่วไป คลิปแรกเป็นเรื่องการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอบริษัทหนึ่ง ที่เดินทางไปร่วมประชุมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยในคลิปจะปรากฏภาพของนักข่าวที่เดินตามและพยายามถามถึงการที่วัคซีนไม่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และผลเสียของวัคซีนที่เกิดขึ้น ถึงระดับที่ทำให้ผู้ได้รับการฉีดต้องเสียชีวิต โดยสอบถามว่าบริษัทจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ และมีคำตำหนิติเตือนที่ค่อนข้างจะรุนแรง ว่าบริษัทสร้างกำไรมหาศาล บนความสูญเสียของผู้คนจำนวนหนึ่ง
ส่วนอีกคลิปหนึ่งนั้น เป็นคลิปที่แสดงถึงการที่นักวิชาการชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งได้สอบถามกับผู้บริหาร ที่คาดว่าเป็นของกระทรวงสาธารณสุขในลักษณะของการโจมตีกล่าวหาอย่างรุนแรง ทำนองว่า ทั้งๆ ที่รู้ผลเสียของวัคซีนตัวนี้ และผลเสียที่กล่าวถึงกันมากคือเรื่องการอักเสบของหัวใจทำให้ผู้ได้รับวัคซีนจำนวนหนึ่งต้องเสียชีวิต แล้วทำไมกระทรวงจึงยังปล่อยให้มีการใช้วัคซีนชนิดนี้ในประเทศของตน
คลิปทั้งสองเรื่องนั้น หากนำไปถามในแวดวงของอาจารย์แพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านในประเทศไทย รวมทั้งผู้ที่ติดตามเรื่องวัคซีนโควิด-19 มาโดยตลอดก็จะทราบว่าเป็นผลงานและการนำเสนอของกลุ่มที่ถูกเรียกรวมว่า antivac ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนหนึ่งในบางประเทศ โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้วัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเป็นการมองภาพเพียงด้านเดียว คือภาวะไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนชนิดนี้ และไม่มีการพูดถึงผลดีที่จะได้รับจากวัคซีนเลยแม้แต่น้อย
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ดีให้เกิดขึ้นไม่เกิดความหวาดวิตกต่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งน่าจะต้องมีการฉีดซ้ำเป็นระยะทุก 6 เดือนเพื่อให้ภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการฉีดวัคซีนครั้งก่อนที่เริ่มมีระดับลดต่ำลงจนอาจจะไม่พอเพียงต่อการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงหากมีการติดเชื้อให้ร่างกาย ได้สร้างภูมิขึ้นมาใหม่เพื่อเสริมกับภูมิเดิมที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง
จึงขออนุญาตนำบทความ ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ของศาสตราจารย์แพทย์หญิงกุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลและเป็นผู้ที่ได้ศึกษาติดตามเรื่องวัคซีนโควิด-19 มาโดยตลอด ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา มานำลงไว้ในคอลัมน์นี้
บทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์แพทย์หญิงกุลกัญญา
เท่าที่อ่านบทสัมภาษณ์ เขาค่อนข้างจะโจมตีวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ บอกว่าการฉีดวัคซีนโดยใช้โปรตีนหนามของไวรัสเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นอันตราย lipidnanoparticle เป็นอันตราย ทั้งนี้ ผู้ให้สัมภาษณ์ไม่พูดเกี่ยวกับว่าถ้าไม่ฉีดวัคซีน ทุกคนจะติดเชื้อไวรัสและได้รับโปรตีนหนามของไวรัสจากการติดเชื้อตามธรรมชาติทุกคน หนีไม่พ้นเช่นกัน
มีส่วนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนกับผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนนั้นตายจากโควิดไม่ต่างกันรวมทั้งบอกว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจะไม่เกิดถ้าฉีดวัคซีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ที่ฉีดวัคซีนมีโอกาสติดเชื้อตามธรรมชาติน้อยลงเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน
ทั้งนี้ทำให้คนเข้าใจผิดว่าวัคซีนไม่ได้ประโยชน์ แถมยังทำให้เกิดอันตรายต่างๆ นานา ซึ่งที่จริงแล้วเป็นที่ประจักษ์จากรายงานทั่วโลกว่า ตั้งแต่เริ่มมีการฉีดวัคซีนก่อนที่ไวรัสอ่อนฤทธิ์ลงไปเองด้วยการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์โอไมครอนนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนมีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนอย่างชัดเจน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรจะเอาข้อมูลออกมาโต้แย้งโดยทันที ไม่ใช่ปล่อยให้สื่อแบบนี้แพร่ออกไปโดยไม่มีการส่งข้อมูลที่เป็นความจริง
ผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่ได้ตายมากขึ้น จริงอยู่ว่าอาจเห็นจำนวนผู้ที่ติดเชื้อในระยะหลังนั้นมีแต่ผู้ที่ฉีดวัคซีน เพราะผู้ที่ฉีดวัคซีนซึ่งมีมากมายทั่วโลก และอาจติดเชื้อได้ เมื่อมีระดับภูมิคุ้มกันลดลงตามกาลเวลาหลังฉีด เช่นเดียวกับการติดเชื้อตามธรรมชาติที่สามารถติดซ้ำได้ เมื่อภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังติดเชื้อลดลงไปตามกาลเวลา ซึ่งเป็นลักษณะของโรคติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ แต่ผู้ที่ฉีดวัคซีนเมื่อเป็นโรคก็จะอาการไม่หนักเลย แตกต่างกับผู้ที่เป็นโรคโดยไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งแม้จะเป็นโอไมครอนก็มีอาการหนักกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนมาก ในขณะนี้ผู้ที่เสียชีวิตเข้าไอซียูเกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีน ข้อมูลเหล่านี้ควรจะได้นำมาเผยแพร่ให้เห็นชัดๆ และปล่อยเผยแพร่ไป ในขณะที่คลิปวีดีโอเหล่านี้ถูกเผยแพร่
เป็นความจริงที่หลังฉีดวัคซีนแล้ว จะมีเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงเกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากวัคซีนส่วนนึง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากวัคซีนแต่เป็นภาวะหรือโรคอื่นที่เผอิญเกิดขึ้นใกล้เคียงหลังฉีดวัคซีน วัคซีนโควิด-19 ก็เช่นเดียวกับวัคซีนอื่นๆ ที่อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอพบสัมพันธ์กับการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเพิ่มมากขึ้นประมาณหนึ่งในแสน แต่เป็นภาวะที่มีอาการน้อยมาก ซึ่งเป็นผลจากปฏิกิริยาการอักเสบที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นในขณะที่ร่างกายตอบสนองต่อวัคซีน แม้ว่าจะมีรายงานเคสที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะและดูจะรุนแรง แต่ก็เกิดขึ้นได้น้อยมากน้อยกว่าหนึ่งในล้าน เทียบไม่ได้เลยกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่เกิดขึ้นได้มากและรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ตามธรรมชาติ
มีความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ วัคซีนทุกชนิดรวมทั้งเอ็มอาร์เอ็นเอสามารถกระตุ้นโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันซึ่งคนคนนั้นเป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรคออโต้อิมมูนต่างๆ โรคจากความเครียดต่างๆ ทำให้โรคดั้งเดิมกำเริบขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นผลพวงจากกระบวนการกระตุ้นภูมิคุ้มกันค่ะ หลายคนฉีดแล้วมีอาการนู่นนั่นนี่ซึ่งเป็นโรคดั้งเดิมของตนเองกำเริบขึ้นมา ก็จะไม่ต้องการฉีดวัคซีนผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็สามารถใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB ได้ค่ะ
โดยสรุป เป็นอีกหนึ่งคลิปที่พยายามทำให้คนกังวลใจเรื่องวัคซีนมากขึ้น เป็นความจริงว่าวัคซีนอาจจะมีอาการข้างเคียงได้ แต่เป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพราะปลอดภัยในภาพรวมมากกว่าที่จะปล่อยให้ติดเชื้อตามธรรมชาติ ซึ่งจะเสียชีวิตมากมายก่ายกองและเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังโควิดมากมายจากนี้อีกมหาศาล
ทั้งหมดนั้นคือคำสัมภาษณ์ ที่อาจารย์ได้มีคำสรุปไว้อย่างชัดเจน
ด้านสถานการณ์การเกิดโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ในรอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 22-28มกราคม พบว่า มีผู้ป่วยโควิดที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล 472 ราย เฉลี่ยต่อวันคือ67 ราย และมีผู้เสียชีวิต 29 ราย เฉลี่ยต่อวันคือ4 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดต่ำกว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างมาก ทำให้เชื่อได้ว่าความวิตกกังวลว่าจะมีการระบาดของโรคโควิด-19 กลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งจากประเทศจีนเข้ามาได้อย่างเสรีนั้น น่าจะเป็นไปได้น้อย
ถือได้ว่าการวางแผนจัดการเรื่องโควิด-19 ของรัฐบาลไทยและกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้โรคนี้ถูกควบคุมไว้ได้อย่างดี ตลอดทั้งความร่วมมือของประชาชนชาวไทยในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นไปอย่างเข้มแข็ง ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งตัวเองและส่วนรวม นับเป็นเรื่องที่น่าชมเชยเป็นอย่างยิ่ง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี