l วันนี้ จะขอพาเพื่อนมิตร ไปรู้จักและทำความเข้าใจ ความคิดหนึ่งทางการเมือง ที่ถูกนำมาเสนอ เพื่อเป็นทางออกของประเทศ คือ การเมืองสีขาว : การเมืองของประชาชนเปิดตัว โดย มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา ซึ่งเป็นสถาบันทางวิชาการหนึ่ง ของคนเดือนตุลาคม ที่มีอุดมคติ ต้องการสร้างสังคมไทยใหม่ขึ้น ณ สถานที่ประวัติศาสตร์หนึ่งของการเมืองไทย โรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 โดยได้เสนอ“หลักการ แนวคิด องค์ประกอบ ลักษณะ และเป้าหมายของการเมืองสีขาว” เพื่อให้ผู้คนที่สนใจเอาจริงทางการเมืองภาคประชาชน มาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นแล้วจักนำไปศึกษา และพัฒนาต่อยอด ให้ได้สมบูรณ์มากขึ้น
@ การนำเสนอ สรุปได้คร่าวๆ คือ
การเมืองในวันนี้อาจจะเรียก การเมืองสีเทา หรือ การเมืองสีดำ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคการเมือง ภาคทุน และภาคประชาชนมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง
หลายฝ่ายมีความเห็นว่า “แนวโน้มการเลือกตั้ง มีการใช้เงินอำนาจ อิทธิพล นักวิชาการ สื่อและมวลชนสูงสุด” เพื่อให้พรรคของตนและพวกพ้อง ได้เข้าไป (หาผลประโยชน์) ในการบริหารประเทศ และหากภาวการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ ประเทศชาติ อาจจะล่มสลายในที่สุด
การเมืองสีขาว เป็น : การเมืองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน ประชาชนต้องเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มิใช่การเมืองของนายทุน ของพรรคการเมือง ฯลฯ อีกต่อไปการเมืองสีขาวนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องมี “ธรรมาภิบาล คุณธรรมจริยธรรม ความยุติธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม ฯลฯ”ในการดำเนินงาน
นโยบายสาธารณะ…………………
การสร้างความเข้าใจต่อสังคมในแนวคิดการเมืองสีขาว เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกสื่อทุกช่องทาง จะต้องร่วมมือในการดำเนินการและรณรงค์ให้ประชาชนแสดงออก
การเลือกตั้งคร้ังใหม่นี้จะแปรเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลว หรือ ยุคไทยรุ่งเรืองขึ้นอยู่กับภาคประชาชนที่จะช่วยกันมีส่วนร่วม และร่วมสร้างการเมืองสีขาวของทุกคนเพื่ออนาคตที่สดใสของลูกหลานในวันข้างหน้า อยู่ในมือของพวกเราด้วยการเดินทางในเส้นทางการเมืองสีขาว : การเมืองของประชาชนที่จะฟันฝ่า ความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้มากที่สุด ฯลฯ
l ผม เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับเชิญไปร่วม โดยมีคนในวัยเดียวกัน และเพื่อนพ้องน้องพี่ วัยถัดมา รวมทั้งมีคนหนุ่มสาวที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นองค์กร ได้เข้ามาร่วมด้วย ผมไปด้วยความรัก เต็มใจ และไปให้กำลังใจฯ ดีใจที่มีคนส่วนหนึ่ง ได้ออกตัวมา ร่วมเสนอทางออกของบ้านเมืองได้รับฟัง
-“ความคิดและแนวทาง” ของกลุ่มคนที่ริเริ่ม
-วิทยากรที่ถูกเชิญให้มาร่วม
-เพื่อนพ้องน้องพี่อาวุโสหลากหลาย
-และเยาวชนคนหนุ่มสาวฯ
l การเสนอความคิด ในที่ประชุม พอประมวลได้
-ความตั้งใจมั่น อยากจะเห็นและร่วมการเปลี่ยนแปลง
-บางส่วนเสนอความคิดในเชิงสร้างสรรค์พัฒนา
-มีบางส่วน มองในเชิงลบ คิดด้านเดียว ยึดตัวเอง(ความเชื่อ) เป็นหลัก
มองปัจจุบัน ลบหรือไม่ดีไปหมด ไม่ได้มองว่า “ปัจจุบันมีส่วนที่ดีขึ้นกว่าอดีต”
-มีประเด็นใหญ่ ในเรื่องขาดการศึกษาข้อมูลตามสภาพที่เป็นจริง
-เสนอภาพเล็ก ภาพย่อย ขาดการมองภาพใหญ่ มองแบบองค์รวมฯ
-คนหนุ่มสาว เสนอประเด็นที่ดี น่าสนใจ
-ส่วนใหญ่ รับฟัง ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็น
ฯลฯ
โดยสรุป ถือว่า เป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยเฉพาะ“ความสนใจความต้องการจะร่วมเปลี่ยนแปลง” โดยทางผู้จัดฯ ได้รับที่จะไปประมวลผล แล้วนำมาเสนอต่อไปส่วนผู้เข้าร่วม ทั้งที่เสนอความคิดเห็น และนั่งรับฟัง
ควรได้นำไปศึกษาพิจารณา ว่า “ความคิดของตนมีส่วนไหนผิด แล้วหาทางแก้ไขพัฒนา” ต่อไป
l ผมขอร่วมแสดงความคิดเห็นบางประเด็น โดยบางส่วนได้ให้ความเห็นต่อที่ประชุมไปบ้างแล้ว
๑.ต้องแสวงหาความเป็นจริงของสังคมไทย และมีความเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองไทย ต้องเข้าใจ ในเรื่องระบบโครงสร้าง และคนอย่างถูกต้อง สังคมไทย ทั้งผู้นำในทุกวงการ และประชาชน ยังขาดการศึกษาเรียนรู้ทำความเข้าใจด้วยสติปัญญา ความจริง ในการแสวงหาทางออกของประเทศโดยเฉพาะ งานด้านวิชาการเชิงทฤษฎี (ที่เป็นข้ออ่อนใหญ่ของสังคมไทย) ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จังหวะก้าวขั้นตอน อย่างเป็นจริงและเป็นรูปธรรม
@ ประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า มีคุณภาพและความสุขของประชาชน
(๑) เขาให้ความสำคัญ และสร้างผู้นำทางทฤษฎี ที่มีความรู้ ประสบการณ์ ที่เป็นจริง
(๒) ผู้นำ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ฯ ต้องมีพลังอำนาจรวม ที่เหนือกว่าพลังอื่นๆ ในสังคม และจะต้องสร้างความร่วมมือกับพลังฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมกันได้ ไปเอาชนะฝ่ายที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง
๒. ๙๑ ปี (๒๔๗๕-๒๕๖๖) มีการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาไปบ้าง
มีทั้งส่วนที่เป็นบวก ส่วนที่เป็นลบ แต่ภาพรวม ยังคงเป็นความคิดเก่า ไปไม่ถึงทางออกที่เป็นจริง
“ผู้นำในการเปลี่ยนแปลง” ยังคงติดในกรอบความคิดเก่าแก้ไม่ได้ หาทางออกไม่เจอ ฯลฯ โดยเรามีผู้นำ ที่มีความปรารถนาดีจริงจัง ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยไปศึกษาแสวงหา“กรอบคิด แนวทาง จากต่างประเทศ” ความสำเร็จในการสร้างประเทศของเขา แล้วติด “กรอบคิด ความเชื่อ” นั้นๆ และนำมาใช้ทั้งดุ้นในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย โดยขาดการศึกษาเรียนรู้ ความเป็นจริงของสังคมไทย และการนำประยุกต์ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย
มีการใช้ “สำนวนคำเปรียบเทียบ” ที่เห็นภาพ คือ
“เราพยายาม ตัดเท้าคนไทย ให้เข้ากับ” เกือก (รองเท้าฝรั่ง จีนฯ)
โดย ไม่ได้ “ตัดเกือก ให้เข้ากับ ตีนคนไทย” เราจึงเกิด ปัญหา “เท้าเจ็บ เลือดออก” ทำให้เราเดินต่อไปไม่ได้ถึงเป้าหมาย และมีวาทกรรมสำคัญที่เป็นบทเรียน สำหรับคนรุ่นปัจจุบัน
“เมื่อข้าพเจ้า มีอำนาจ ข้าพเจ้า ขาดประสบการณ์
และเมื่อข้าพเจ้า มีประสบการณ์ ก็ไม่มีอำนาจแล้ว”
๓.การแก้ปัญหาต้องมองภาพรวม คิดและทำไปทั้งภาพรวมและภาพเฉพาะ เรื่องหลักและเรื่องรอง
เพราะ
เรื่องหลัก
เราไม่มีหลักคิด แนวทางที่ถูกต้อง และพลังของการเปลี่ยนแปลง มีมากไม่พอ
เรื่องรอง
เราทำ เรื่องที่ทำได้ แม้จะยังไม่ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงแต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์และบทเรียน เป็นการสะสมพลังของการเปลี่ยนแปลง
๔.ผู้นำหลายฝ่าย มัก “คิดและทำแบบเดิมๆ เก่าๆ” โดยหวังว่า “จะเปลี่ยนสังคมไทยได้”
ไอน์สไตน์ กล่าวว่า
Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results.
มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง
๕.ต้องเริ่มทำในสิ่งที่ทำได้จริง และมีผลสะเทือนต่อการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้น
เช่น “เรื่องการเมืองสีขาว” ต้องตีโจทย์ให้แตก
สีขาว คือ เป้าหมาย และเป็นกลไกในการเปลี่ยนแปลง
สีดำ คือ การเมืองเผด็จการ (ที่ในปัจจุบัน ไม่มีเผด็จการ ๑๐๐%)
สีเทา คือ การเมืองในปัจจุบัน ที่มีทั้งสีดำ และสีขาว
@ เรา ต้อง ใช้ “การเมืองสีขาว”
ไปลดการเมืองสีเทา ที่มีส่วนดำ
ไปเพิ่มการเมืองสีขาว ทำให้สีเทา มีสีขาวมากขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี