เคยสงสัยหรือไม่ว่า ป้ายหาเสียงชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่ติดกันจนรกบ้านรกเมืองทุกครั้งในช่วงฤดูการหาเสียง มีสักกี่ป้ายที่ไม่มีข้อความเท็จ แล้วสักกี่ป้ายกันที่บอกความจริง
เมื่อวิญญูชนได้เห็นคำโกหกต่างๆ นานาบนป้ายหาเสียง แล้วก็ตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่ต้องการจะเป็น สส. ในบ้านเมืองของเราจึงต้องโกหก เขาเหล่านั้นดูถูกประชาชนใช่หรือไม่ หรือว่าในชีวิตของเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้ว่าอะไรคือเรื่องจริง และอะไรคือเรื่องโกหก หรือทุกเรื่องที่คนพรรค์อย่างว่านั้นพูดออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหก เนื่องจากไม่เคยพูดความจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต
อันที่จริงบ้านเมืองของเรามีกฎหมายเลือกตั้ง และมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ก็ดูเสมือนว่ากฎหมายเลือกตั้งตามไปเอาผิดนักการเมืองจอมโกหกไม่ค่อยได้ และดูเสมือนว่าคนโกหกบางรายก็ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ส่วน กกต. ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถตามทันกลโกงของนักเลือกตั้งได้ แต่ที่หนักหน่วงกว่านั้นคือ กกต. ก็ถูกแต่งตั้งมาจากผู้มีอำนาจรัฐ ดังนั้น กกต. จึงไม่อยากมีปัญหากับผู้มีอำนาจรัฐ เพราะเกรงว่าตำแหน่งของตนใน กกต. จะไม่มั่นคง
กฎหมายเลือกตั้งกำหนดว่าพรรคการเมือง หรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องหาเสียงอย่างถูกกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูง จูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือกตั้งให้ผู้สมัครและให้พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด
ลักษณะการหาเสียงที่ผิดกฎหมาย มีดังนี้
1 จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใดเช่น งานวันเกิด งานบวช งานโกนจุก งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่งานบุญ งานเทศกาล งานขึ้นปีใหม่ หรืองานศพ เป็นต้น
2 ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด มัสยิด สุเหร่า ศาลเจ้า โรงเจ โบสถ์คริสต์ โบสถ์พราหมณ์ สำนักปฏิบัติธรรม สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ สหกรณ์ กองทุนสงเคราะห์ ชุมนุม ชมรมสโมสร หรือสถาบันอื่นใด ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศ เช่น การบริจาคเงิน การประมูลทรัพย์สิน หรือสิ่งของในงานกุศลต่างๆ เป็นต้น
3 โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ รวมทั้งการแสดงและการละเล่นอื่นๆ
4 เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด รวมถึงการจัดเลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยง การประชุม อบรม สัมมนา ทัศนศึกษา หรือดูงาน เป็นต้น
5 หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองใด เช่น การปราศรัยด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เป็นต้น
ส่วนการกระทำที่ผู้สมัคร สส. และพรรคการเมือง สามารถทำได้มีดังนี้
1 แจกเอกสาร หรือทำวีดีโอ เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งในเขตชุมชน สถานที่ หรืองานพิธีการต่างๆ โดยเอกสารที่ใช้มีรูปถ่าย ข้อความ ที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้สมัครและพรรคที่สังกัด รวมถึงนโยบายได้
2 จัดสถานที่ จัดเวทีปราศรัย โดยใช้เครื่องขยายเสียงได้
3 ใช้ยานพาหนะต่างๆ เพื่อช่วยหาเสียงได้
4 หาเสียงผ่านระบบสื่อสารออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ เป็นต้น
5 เข้าไปหาเสียงในสถานที่ต่างๆ แต่ต้องขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ และต้องได้รับอนุญาตก่อน
6 ส่งจดหมาย สื่อสิ่งพิมพ์ ถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้
7 มีผู้ช่วยหาเสียงได้ โดยต้องแจ้งรายละเอียดตามระเบียบฯ ต่อ กกต.ประจำจังหวัด
8 ติดแผ่นป้ายโฆษณาโดยมีชื่อ รูปถ่าย หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร แต่ต้องเป็นไปตามจุดที่กำหนดและป้ายมีขนาดตามกำหนดเท่านั้น
9 ไปร่วมงานตามประเพณี เช่น งานศพ งานบวช งานแต่งงาน โดยสามารถมอบพวงหรีดให้ได้ แต่ต้องไม่มอบเงิน หรือทรัพย์สินต่างๆ ยกเว้นเจ้าภาพเตรียมของไว้ให้มอบตามพิธีการ
10 จัดพิธีงานต่างๆ ได้เท่าที่จำเป็น โดยหลีกเลี่ยงการจัดงานขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามกระทำระหว่างการหาเสียง หมายความรวมถึงการหาเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่เปิดเผย ซึ่งมีวัตถุประสงค์แอบแฝง อันเป็นลักษณะต้องห้าม ทั้งนี้ได้กำหนดไว้ในมาตรา 73 ของกฎหมายเลือกตั้งคือ การห้ามบรรดาผู้สมัคร หรือผู้ใดก็ตาม กระทำการในลักษณะที่เป็นการจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือไม่ให้ลงคะแนนเสียง หรือชักชวนให้ไม่เลือกผู้ใด ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1 จัดทำหรือเตรียม/เสนอ/สัญญาจะให้ เงิน ทรัพย์สิน ประโยชน์แก่ผู้ใด
2 เสนอ/สัญญาจะให้ แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา ฯลฯ ทั้งทางตรง และทางอ้อม
3 หาเสียงด้วยการจัดมหรสพ หรืองานรื่นเริง เช่นจ้างนักร้อง หรือหมอลำชื่อดังมาแสดง
4 เลี้ยง หรือรับจะจัดเลี้ยง
5 หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพล จูงใจหรือใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด เช่น การปราศรัยด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ยังมีข้อห้ามของ กกต. เพิ่มเติมดังนี้ คือ
ห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องในการหาเสียง
ห้ามให้ผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวกับสื่อสารมวลชน เช่น นักแสดง นักร้อง พิธีกร ฯลฯ เอื้อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้งแก่ตนเอง
ห้ามแจกจ่ายเอกสาร ด้วยวิธีการวาง หรือโปรยในที่สาธารณะ
ห้ามใช้คำรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย หรือปลุกระดม
ห้ามช่วยเหลือเงิน ทรัพย์สิน ตามประเพณีต่างๆ เช่น ใส่ซองงานบุญ งานบวช งานศพ
ห้ามมอบของช่วยเหลือประชาชน เช่น บริจาคของช่วยวิกฤตน้ำท่วม
ห้ามโฆษณาหาเสียงผ่านช่องวิทยุและโทรทัศน์
ต้องไม่จงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบ กกต. (เพิ่มเติมตามระเบียบกกต. วิธีการหาเสียงฯ (ฉบับที่ 3)
บัดนี้ได้เข้าสู่ช่วงแห่งการหาเสียงเลือกตั้ง สส. โดยกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งไว้ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราทุกคนในสังคมไทยคงได้เห็นแล้วว่าตามถนนหนทางจะเต็มไปด้วยป้ายหาเสียง และยังได้พบการใช้กลวิธีหาเสียงต่างๆ นานา เช่น รถแห่ เดินเคาะประตูบ้าน เดินไปตามชุมชน และหาเสียงผ่านระบบ social media
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เราทุกคนสามารถพบหน้าค่าตาของเหล่าบรรดาผู้สมัคร สส. จากพรรคการเมืองต่างๆ ได้ง่ายที่สุด เพราะพวกเขาพากันออกเดินตระเวนไปตามจุดต่างๆ เพื่อขอคะแนนเสียง หลายคนรู้ดีว่า เราจะสามารถพบนักการเมืองได้ง่ายที่สุดในช่วงก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นแล้ว จะหาตัวพวกเขาได้ยากเย็นอย่างที่สุด ยกเว้นจะยกขบวนไปเชียร์ นำดอกไม้ไปมอบให้ หรือไปยกป้ายเชียร์ และเชลียร์ (เชียร์บวกกับเลีย) แต่หากไปเพื่อร้องเรียน รับรองว่าจะหาตัวคนเหล่านั้นได้ยากมาก เพราะเขามักจะหลบหน้าหนีหายไป ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
พูดถึงการหาเสียงของเหล่านักการเมือง ก็ต้องตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมผู้สมัคร สส. บางคนจากบางพรรคจึงหาเสียงจนดูเสมือนว่าโกหกตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องสัญญาว่าจะให้สารพัดจะให้ น่าสังเกตว่าทำไมยังดูเสมือนว่ายังมีการโกหกด้วยการสัญญาว่าจะให้ แต่เป็นการโกหกโดยใช้กลอุบายว่าเป็นการนำเสนอนโยบายพรรคการเมือง แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบได้ว่าข้ออ้างเรื่องนโยบายพรรคนั้น แท้จริงแล้วมันคือคำโกหก เพราะไม่มีวันจะทำได้จริงเป็นอันขาด
คำถามต่อมาคือ แล้วทำไมหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลการหาเสียงของนักการเมืองให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายจึงปล่อยให้นักการเมืองโกหกประชาชนได้ตลอดเวลา ทั้งโกหกด้วยป้ายหาเสียง และโกหกบนเวทีปราศรัย
อันที่จริงบ้านเมืองของเรามีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 และยังมีระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ทั้งพระราชบัญญัติ และระเบียบดังกล่าวนั้นกำหนดไว้ทั้งกรอบระยะเวลาการปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ และข้อห้ามการหาเสียง เพื่อให้เป็นกฎกติกาสำหรับผู้สมัคร สส.พรรคการเมือง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และหน่วยงานของรัฐ ที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้หากฝ่าฝืนก็อาจมีโทษคือปรับ หรือจำคุก หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และที่รุนแรงที่สุดคือ การยุบพรรคการเมือง
สำหรับการหาเสียงผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรคคือการกระทำดังต่อไปนี้
การหาเสียงที่มีลักษณะเป็นการต้องห้าม กำหนดในมาตรา 158 และมาตรา 159 คือ การกระทำที่เป็นการทุจริตซื้อเสียง (มาตรา 73 (1) (2)) หาเสียงโดยจัดงานเลี้ยงหรืองานมหรสพ (มาตรา 73 (3) (4)) หาเสียงโดยใช้อิทธิพล ให้ร้ายผู้อื่น (มาตรา 73 (5))
จ้างให้ลง หรือไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง (มาตรา 75)
จัดรถรับ-ส่งคนไปเลือกตั้ง (มาตรา 76)
โดยมีโทษตั้งแต่ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ไปจนถึงเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ยิ่งไปกว่านั้นหากปรากฏพฤติการณ์ว่าหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคการเมืองรู้เห็นเป็นใจ อาจถูกตัดสินยุบพรรคการเมืองได้ ตามกฎหมายพรรคการเมือง
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น มีสิ่งหนึ่งที่วิญญูชนได้ประจักษ์ก็คือ ป้ายหาเสียงจำนวนไม่น้อยที่ปรากฏชัดในที่สาธารณะนั้นน่าจะเข้าข่ายโกหกประชาชน โดยเฉพาะการสัญญาว่าจะให้สารพัดชนิด รวมถึงเรื่องที่นักการเมืองหาเสียงด้วยการโกหกประชาชนด้วยกลอุบายต่างๆเช่น ลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดราคาค่าไฟฟ้า ให้เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี รักษาพยาบาลฟรีสารพัดโรค เพิ่มเงินค่าจ้างรายวันและรายเดือน การให้เงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
คำถามคือ กกต. ก็เห็นชัดเจนแล้วใช่ไหมว่า การหาเสียงในปัจจุบัน รวมถึงการหาเสียงในการเลือกตั้งต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น เลือกตั้งซ่อม สส. เขต เลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ปรากฏว่ามีการโกหกอย่างชัดเจน เพราะผู้หาเสียงไม่สามารถทำได้ตามคำสัญญา แต่เหตุไฉน กกต. จึงไม่เอาผิดกับคนหาเสียงด้วยการโกหก แล้วทำไมคนโกหกประชาชนที่ได้เป็น สส. และผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ จึงไม่ถูกกฎหมายลงโทษ ตกลงว่าประเทศไทยอนุญาตให้หาเสียงด้วยการโกหกได้ ใช่หรือไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี