วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์ /

วันจันทร์ ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2566, 02.00 น.
การบาดเจ็บและเสียชีวิตที่น่าจะหลีกเลี่ยงได้

ดูทั้งหมด

  •  

ตามประเพณีของไทยซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม จะกำหนดเทศกาลประเพณีสงกรานต์ว่ามีอยู่ 3 วัน โดยเป็นไปตามการเคลื่อนย้ายของดวงอาทิตย์ จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ โดยในปีนี้จะเป็นปีอธิกมาส และหากยึดตามปฏิทินล้านนาจะประกอบไปด้วย 3 วัน คือวันที่ 14-16 เมษายน โดยวันที่ 14 เมษายน จะเป็นวันสังขานต์ล่องหรือสังขารล่อง โดยคำว่าสังขารนั้นตรงกับคำว่าสงกรานต์ถือว่าเป็นวันสุดท้ายของปี เป็นวันที่สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในรอบปีนั้น จะผ่านพ้นไปหมดแล้ว เป็นวันที่จะทำความสะอาดร่างกาย ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านต่างๆ วันต่อมาคือวันที่ 15 เมษายน เรียกว่าเป็นวันเนาว์หรือเนาหรือวันเน่า จะเป็นวันที่ไม่ทำสิ่งอัปมงคล ต้องทำแต่สิ่งที่ดีๆในวันนี้ ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน เป็นวันที่เตรียมของไปทำบุญเข้าวัด และวันสุดท้ายของเทศกาลคือวันที่ 16 เมษายน หรือเรียกว่าวันพญาวัน ถือว่าเป็นวันเถลิงศก คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลต่างๆ รวมทั้งการสรงน้ำพระ ช่วงบ่ายจะเป็นการรดน้ำดำหัว ตลอดจนพิธีการดีๆทั้งหลาย แต่ถ้าจะยึดตามที่ราชการกำหนด ก็จะเป็นวันที่ 13, 14 และ 15

ในช่วงประเพณีสงกรานต์นี้ สิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศไทยเราคือจะเป็นช่วงที่มีอุบัติเหตุทางจราจรสูงที่สุด ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากตลอดมา
ถึงแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะพยายามสื่อสาร ให้ความรู้ และเตือนให้ผู้ที่ต้องสัญจรด้วยยานพาหนะไปในที่ต่างๆ ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร


โดยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 17 เมษายน จะมีการรวบรวม ข้อมูลสถิติของการเกิดอุบัติเหตุจราจรเป็นประจำทุกปี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและภาคีเครือข่าย และในปีนี้ก็ยังทำอยู่เช่นเดียวกัน พบว่าตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน จนถึงวันที่ 14 เมษายน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของช่วงเวลาดังกล่าว ได้เกิดอุบัติเหตุทางจราจรแล้วมากกว่า 1,422 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,431 รายและมีผู้เสียชีวิตแล้ว 158 ราย ซึ่งเมื่อนับถึง วันที่ 17 เมษายน น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 เท่า อันจะเป็นตัวเลขที่มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยยานพาหนะที่เป็นสาเหตุนั้น ประมาณ 80% เป็นจักรยานยนต์ และสาเหตุของการบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น มีอยู่ 3 ประการคือ ขับรถเร็วเกินกำหนดประมาณ 37% ดื่มสุราแล้วขับรถประมาณ 30% จากทัศนวิสัยไม่ดีและอื่นๆ ประมาณ 15% ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียเป็นอย่างยิ่ง โดยยานพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุสูงสุดคือจักรยานยนต์ ประมาณ 83%

ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุจราจร และทำให้เกิดการบาดเจ็บ การเสียชีวิตและความพิการเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีอัตราการตาย 36.2 ต่อประชากรแสนคน เป็นสถิติที่มากกว่าค่าเฉลี่ย ถึง 2-3 เท่าของทั้งโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะภูมิใจแต่อย่างใด โดยสาเหตุส่วนใหญ่นั้นมาจากการขาดวินัยการจราจร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะโดยความจริงแล้วในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจราจรนั้นก็มีอยู่มากพอสมควรและครอบคลุมหลายเรื่องด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดอัตราความเร็วของการขับขี่ยานพาหนะทั้งในเขตชุมชนและในเขตนอกเมือง กฎหมายเรื่องการสวมหมวกกันน็อก รวมทั้งกฎหมายเรื่องการใช้เข็มขัดนิรภัย ซึ่งเมื่อนำไปปฏิบัติจริงนั้นพบว่ามีการละเลยและบกพร่อง ทั้งในส่วนของประชาชนที่ถือว่าต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และในส่วนของผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งได้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายโดยการกวดขันและจับกุมอย่างจริงจัง รวมทั้งบางครั้งยังใช้กฎหมายไปในทางที่ส่อให้เห็นว่ามีการทุจริต เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับตัวเอง

การเกิดอุบัติเหตุก็เป็นเช่นเดียวกับการเกิดโรคหรือการเจ็บป่วย ที่ในหลายกรณีเป็นเรื่องป้องกันได้ โดยส่วนของการเจ็บป่วยนั้นปัจจุบันมีวัคซีนที่ได้ผลดีมากอยู่หลายชนิดที่ป้องกันโรคจากการติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรียได้อย่างดี  การรักษาสุขภาพ และตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยในการป้องกันโรคหรือตรวจโรคพบโรคตั้งแต่ระยะต้นๆ  ทำให้สามารถจะรักษาให้หายได้ ในส่วนของอุบัติเหตุนั้น สภาพของยานพาหนะก็ถือว่ามีความสำคัญที่จะต้องให้พร้อมในการใช้งานอยู่ตลอดเวลา และยังมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรง ที่เกิดจากอุบัติเหตุจราจรได้ เช่น หมวกกันน็อก เข็มขัดนิรภัย ตลอดจนถุงลม ที่ติดตั้งมากับรถ

ในส่วนของหมวกกันน็อก พบว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันที่มีประโยชน์อย่างมาก โดยองค์การอนามัยโลกได้พบว่าในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งประเทศไทยที่นิยมใช้จักรยานยนต์เป็นยานพาหนะนั้น มีอัตราการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะถึงร้อยละ 88 และมีข้อมูลว่าหมวกกันน็อกที่เป็นมาตรฐานนั้นสามารถจะป้องกันหรือช่วยลดภยันตรายที่เกิดกับศีรษะซึ่งย่อมทำให้เกิดการกระทบกระเทือนไปถึงสมองได้ถึงร้อยละ 69  และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะลงได้ถึงร้อยละ 42 ในกรณีที่ใช้ความเร็วไม่สูงมาก รวมทั้งกรณีที่บาดเจ็บ ก็ลดระยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตลอดจนค่าใช้จ่ายในการรักษาได้เป็นอย่างมากด้วย ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคในช่วงปี 2562 นั้น พบว่ามีผู้เสียชีวิต จากการขับขี่รถจักรยานยนต์ปีละประมาณ 9,000 ราย บาดเจ็บสาหัสประมาณ 160,000 ราย และบาดเจ็บ
เล็กน้อยอีกเกือบ 7 แสนราย

ข้อมูลจากการสำรวจในปี 2561 โดยการสังเกตพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์กว่า 1,500,000 รายทั่วประเทศ พบว่า การขับขี่ที่ทั้งคนขับและคนซ้อนสวมหมวกมีเพียงร้อยละ 45 และสวมหมวกกันน็อกเฉพาะคนขับมีเพียงร้อยละ 52  และในส่วนของเด็กที่ซ้อนท้ายผู้ปกครองนั้น มีเด็กเพียงรัอยละ 8 เท่านั้นที่สวมหมวกกันน็อก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียมีตัวเลขที่ยังสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยข้ออ้างที่ทำให้ไม่สวมหมวกนั้น ได้แก่เป็นการเดินทางไปที่ใกล้ๆ ขับขี่อยู่ในถนนเส้นเล็กๆ หรือตามตรอก มีความเร่งรีบ รวมทั้ง รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องสวมหมวกกันน็อก

จึงเห็นว่าแม้จะมีกฎหมายบังคับเรื่องการสวมหมวกกันน็อก แต่ผู้ขับขี่ยานพาหนะและเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนตามที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่เป็นจังหวัดเล็กหรือในท้องที่ห่างไกล  การไม่สวมหมวกกันน็อกจึงดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ในส่วนของเข็มขัดนิรภัยนั้นก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ ประจำรถที่มีประโยชน์ต่อการป้องกันการบาดเจ็บจากการชนที่เกิดจากรถยนต์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะจากการที่รถยนต์ชนกันเองหรือจากการที่รถยนต์ประสบอุบัติเหตุชนสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น เสาไฟหรือต้นไม้ที่อยู่ริมทาง และหากเป็นรถยนต์ที่มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยไว้ด้วย และเป็นการชนปะทะทางด้านหน้า  จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้ขับขี่ยานพาหนะได้เป็นอย่างมาก

มีข้อมูลจากศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยว่า การคาดเข็มขัดนิรภัยสามารถจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตเมื่อประสบอุบัติเหตุได้ถึงร้อยละ 34 และพบว่าผู้ที่ไม่ใช้เข็มขัดนิรภัย จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ใช้ ถึง 1.5-2 เท่า การทำงานของเข็มขัดนิรภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุนั้น จะช่วยรั้งตัวของผู้ขับหรือผู้โดยสารให้ติดอยู่กับเบาะที่นั่ง ไม่กระเด็นออกนอกตัวรถหรือไปกระแทกกับส่วน ของรถยนต์ที่เป็นของแข็ง จึงช่วยลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้

จากการวิจัยพบว่า แรงกระแทกจากการชนที่เกิดจากรถวิ่งที่ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเท่ากับรถที่ตกจากที่สูง 14 เมตร หรือความสูงประมาณตึก 5 ชั้น หากคนที่อยู่ในรถไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเมื่อรถชนและหยุดกะทันหัน ศีรษะ ใบหน้าและลำตัวของคนในรถจะถูกเหวี่ยงไปกะแทกกับพวงมาลัย กระจกหน้ารถ ส่วนอื่นๆ ของรถ หรือหลุดออกจากตัวรถได้ และอวัยวะในร่างกายไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ลำไส้ สมอง หรือไขสันหลัง จะเคลื่อนไหวเท่ากับความเร็วของรถเมื่อรถชนหรือหยุด  อวัยวะเหล่านั้นจะเกิดแรงกระแทกทำให้เกิดการฉีกขาดเสียหายได้

เข็มขัดนิรภัย สามารถลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บลงได้ร้อยละ 40 ถึง 50 ช่วยลดการบาดเจ็บสาหัสได้ร้อยละ 43 ถึง 65 ช่วยลดการเสียชีวิตได้ร้อยละ 40-60จากการทดสอบรถที่เกิดการพลิกคว่ำ เข็มขัดนิรภัยจะมีประสิทธิภาพมากถึงร้อยละ 77 รองลงมาคือการชนด้านซ้าย ร้อยละ 49 และอันดับ 3 คือการชนด้านหน้า ร้อยละ 43ซึ่งช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุได้จริง

เมื่อมีกฎหมายบังคับในเรื่องของการสวมหมวกกันน็อกและเข็มขัดนิรภัยแล้ว หากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะคอยติดตาม กำกับควบคุม และดำเนินการไปตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง ไม่มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือยินยอมกับการกล่าวอ้างต่างๆ ของผู้ขับขี่ยานพาหนะ  ย่อมจะเป็นเรื่องที่จะทำให้ ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและเสียชีวิต หรือความพิการทุพพลภาพต่างๆ ลดน้อยลงได้อย่างแน่นอน จึงเป็นเรื่องที่จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายนี้อย่างจริงจัง ควบคู่กับเรื่องของการกำกับควบคุมในเรื่องวินัยของผู้ขับขี่ให้เป็นไปอย่างถูกต้องด้วย ก็จะทำให้การสูญเสียของคนไทยในแต่ละปีจากอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ลดลงได้อย่างแน่นอน  จึงเป็นเรื่องที่ขอฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ที่จะต้องรับผิดชอบการบริหารบ้านเมืองโดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเข้มแข็งต่อไปด้วย 

อย่าห่วงแต่เรื่องการแจกเงินให้กับประชาชนตามที่ได้หาเสียงไว้เท่านั้น

นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
18:15 น. (คลิป) 'นายกอิ๊งค์' อ้าง! ใส่ชุดขาว ตอบนักข่าวเรื่อง 'ทักษิณ' ไม่ได้
18:12 น. ทำบุญอย่างไรให้ได้อานิสงส์มาก
18:00 น. (คลิป) เมื่อกล้องวงจรปิด 'ชั้น14และบ้านจันทร์ส่องหล้า' เสียพร้อมกัน นอนบ้านไม่ได้นอนชั้น14 ด้วยหรือไม่
17:57 น. KNU ประกาศชัยชนะตีฐานทหารเมียนมาตรงข้ามช่องทางพุน้ำร้อนเมืองกาญจน์แตกกระเจิง
17:53 น. คดี‘ชั้น 14’พ่นพิษ! ‘บิ๊กต่าย’สั่งกองวินัยเตรียมสอบ‘หมอ รพ.ตำรวจ’
ดูทั้งหมด
ภาพอบอุ่นใจความรักที่งดงามของ 'กษัตริย์จิกมี-สมเด็จพระราชินี-เจ้าชาย-พระธิดา' ในยามค่ำคืนของทะเลทรายโกบี
(คลิป) 'ฐปณีย์' เละคาบ้าน! ด้อยค่าคนไม่เห็นด้วย 'เมียจ่าปืน' ออกโรงตอกกลับไม่ใช่ IO
‘ลาออก’ไปเถอะ! ฉะ‘นายกฯ’มีสติปัญญาแค่นี้ แผ่นเสียงตกร่องชู‘กาสิโน’แก้เศรษฐกิจ
หยามเกียรติธงชาติไทย! ทนายแจ้งเอาผิด โพสต์เฟสบุ๊คดูหมิ่น'ธงคือผ้าเช็ดเท้า'
มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 4-10 พ.ค.68
ดูทั้งหมด
อวสาน‘ทักษิณ’คุกรออยู่
ความต่างของ สิงคโปร์ กับ ไทย
คุกนรก (1)
นักการเมือง ‘ส้มสารพิษ’
บุคคลแนวหน้า : 9 พฤษภาคม 2568
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

(คลิป) 'นายกอิ๊งค์' อ้าง! ใส่ชุดขาว ตอบนักข่าวเรื่อง 'ทักษิณ' ไม่ได้

ได้โอกาสส่งออก! ‘อินโดนีเซีย’เผยปี’68คาดผลผลิตข้าวเหลือเกินบริโภคในปท.

ปตท. ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มแหล่งอาทิตย์เสริมความมั่นคงพลังงานไทย

'DSI'ลงนามด่วนถึง'ผบ.ตร.-ปลัด มท.' ร่วมมือสอบสวนเอาผิดฟอกเงินคดีฮั้วเลือก สว.

(คลิป) เมื่อกล้องวงจรปิด 'ชั้น14และบ้านจันทร์ส่องหล้า' เสียพร้อมกัน นอนบ้านไม่ได้นอนชั้น14 ด้วยหรือไม่

ไม่ปล่อยให้ผ่านมือ!'รอง ผกก.สืบฯฮีโร่'ขับรถกลางดึกเจอโจรผัวเมียงัดตู้เติมเงินจับทันที

  • Breaking News
  • (คลิป) \'นายกอิ๊งค์\' อ้าง! ใส่ชุดขาว ตอบนักข่าวเรื่อง \'ทักษิณ\' ไม่ได้ (คลิป) 'นายกอิ๊งค์' อ้าง! ใส่ชุดขาว ตอบนักข่าวเรื่อง 'ทักษิณ' ไม่ได้
  • ทำบุญอย่างไรให้ได้อานิสงส์มาก ทำบุญอย่างไรให้ได้อานิสงส์มาก
  • (คลิป) เมื่อกล้องวงจรปิด \'ชั้น14และบ้านจันทร์ส่องหล้า\' เสียพร้อมกัน นอนบ้านไม่ได้นอนชั้น14 ด้วยหรือไม่ (คลิป) เมื่อกล้องวงจรปิด 'ชั้น14และบ้านจันทร์ส่องหล้า' เสียพร้อมกัน นอนบ้านไม่ได้นอนชั้น14 ด้วยหรือไม่
  • KNU ประกาศชัยชนะตีฐานทหารเมียนมาตรงข้ามช่องทางพุน้ำร้อนเมืองกาญจน์แตกกระเจิง KNU ประกาศชัยชนะตีฐานทหารเมียนมาตรงข้ามช่องทางพุน้ำร้อนเมืองกาญจน์แตกกระเจิง
  • คดี‘ชั้น 14’พ่นพิษ! ‘บิ๊กต่าย’สั่งกองวินัยเตรียมสอบ‘หมอ รพ.ตำรวจ’ คดี‘ชั้น 14’พ่นพิษ! ‘บิ๊กต่าย’สั่งกองวินัยเตรียมสอบ‘หมอ รพ.ตำรวจ’
ดูทั้งหมด
Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved