วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เดือนเมษายนของทุกปีเป็นช่วงปิดเทอม แต่ขณะเดียวกันสำหรับเด็กและเยาวชนหลายคนช่วงนี้ต้องลุ้นว่าจะได้เรียนต่อหรือหลุดออกจากระบบการศึกษา ซึ่งอย่างหลังนั้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตนเอง แต่ยังรวมถึงครอบครัวและสังคมด้วย ดังที่เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนาเรื่อง “ทางเลือกการศึกษาที่แท้จริงและตอบโจทย์ชีวิต ทางออกปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดนอกระบบ” โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาสังคม กสศ. กล่าวถึง “โครงการจัดการความรู้เพื่อสื่อสารการขับเคลื่อนนโยบาย ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตทางการศึกษา” ในปี 2565 สำรวจกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนรวม 404 คน ใน 4 ภาค และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก กสศ.
อันเป็นกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนที่สุด ทำให้เข้าใจว่าเหตุใดเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้จึงหลุดจากระบบการศึกษา
1.ครอบครัวกลุ่มยากจนที่สุดมีรายได้หลักพันบาท แต่มีหนี้สินหลักแสนบาท โดยเฉพาะสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มาตรการควบคุมโรคส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชน หลายคนต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ แต่เมื่อเป็นหนี้สินมากก็มีผลต่อการตัดสินใจของพ่อแม่ผู้ปกครองว่าอาจจะให้บุตรหลานออกจากระบบการศึกษา กับ2.คนหนึ่งคนมีมากกว่า 1 ปัญหา ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยร่วมระหว่างปัญหาครอบครัวกับปัญหาเศรษฐกิจ
“ข้อสรุปข้อค้นพบจากระบบครอบครัว ผู้รับทุนส่วนใหญ่อยู่กับญาติหรือครอบครัวแหว่งกลาง 71% ครอบครัวแหว่งกลางคือครอบครัวที่พ่อแม่ไม่อยู่ อยู่กับปู่ย่าตายาย แล้วเราพบลึกลงไปกว่านั้นอีก ประมาณ 1 ใน 3 อยู่กับย่ากับยายตามลำพัง นี่คือความอ่อนหรือความด้อยของระบบครอบครัวไทยข้างล่าง ความเปราะบางที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องมองว่าถ้าเรายังปล่อยให้ระบบครอบครัวไทยอ่อนแอเปราะบางแบบนี้ คุณอย่าคุยโม้เลยว่าจะไปเลิกกับดักรายได้ปานกลาง ถ้าคนข้างล่างเขายังไปลำบาก” ศ.ดร.สมพงษ์ ระบุ
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า กรมพินิจฯ ดูแลเด็กและเยาวชนอายุ 12-18 ปี ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรม หรือก็คือเด็กและเยาวชนที่ทำผิดกฎหมาย ในจำนวนนี้เป็นช่วงอายุ 15-18 ปี มากที่สุด และเมื่อศึกษาเส้นทางชีวิตก่อนมาถึงจุดนี้ พบว่าปัญหาครอบครัวเป็นปัจจัยหลักราวร้อยละ 80 นอกจากนั้น ประมาณร้อยละ 70 เป็นเด็กและเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา เฉลี่ยแล้วเพียงชั้นม.2 ครึ่ง เท่านั้น ทั้งที่ช่วงวัยดังกล่าวหากยังอยู่ในระบบการศึกษา จะเป็นช่วย ม.ปลาย หรือ ม.4-6
ประเภทของการกระทำความผิด ร้อยละ 60 เป็นคดียาเสพติด รองลงมาเป็นคดีเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งก็เชื่อมโยงกับปัญหาเศรษฐกิจ แต่ด้วยหลักสากลนั้นไม่ต้องการให้เกิดการขัดขวางพัฒนาการของเด็กและเยาวชน การทำงานของกรมฯจึงมุ่งเน้นการให้โอกาสเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ แม้จะไม่สามารถแก้ไขที่ครอบครัวได้เพราะมีความหลากหลายมากแต่สิ่งที่กรมฯ ทำได้คือเรื่องการศึกษา ซึ่งมีบุคลากรและเครื่องมือ รวมถึงมีภาคีเครือข่ายพร้อมสนับสนุน และนอกจากให้การศึกษาแล้ว ยังค้องให้อาชีพกับคนกลุ่มนี้ด้วย
“เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เพราะต้องถูกจำกัดเสรีภาพในสภานพินิจหรือในศูนย์ฝึกอบรมแต่ก็ถือเป็นความโชคดีของประเทศเราการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญแล้วทุกช่วงวัยก็เห็นความสำคัญ ก็มีนวัตกรรม มีโอกาสต่างๆมากมายเพิ่มขึ้น กรมฯ ไม่ต้องทำอะไร ไปเอาสิ่งที่มีมาใช้ไม่ต้องคิดเยอะ ก็จะมีเรื่องการศึกษาที่เราสามารถใช้องคาพยพได้มากมาย ซึ่ง กสศ. ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมหนึ่งที่ท่านได้สร้างโอกาสเหล่านี้ให้กับเด็กเช่นเดียวกัน แล้วกรมฯ ก็เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะนำมาใช้”พ.ต.ท.วรรณพงษ์ กล่าว
วิทิต เติมผลบุญ เลขาธิการสมาคมศูนย์การเรียนโดยองค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน เล่าเรื่องในอดีตที่กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี เคยมีสถาบันการศึกษาของเอกชนที่จะรับเด็กและเยาวชนที่ถูกไล่ออกจากสถาบันอื่นๆ เข้าเรียน ซึ่งปัจจุบันได้ปิดทำการถาวรไปแล้ว โดยในวันสุดท้ายของการเปิดการเรียนการสอน ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนั้นได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “อย่างน้อยการอยู่ในระบบการศึกษาเด็กก็ยังมีที่พึ่ง” พร้อมกับทิ้งคำถามว่าถ้าเด็กเหล่านี้ออกจากระบบแล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน?
ผอ.ท่านนั้น ยังกล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าโรงเรียนของตนเองมีแต่เด็กมีปัญหา โดยยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ก็เป็นเพราะยอมที่จะรับทุกปัญหาเข้ามา ซึ่ง วิทิต เล่าต่อไปว่า หลังโรงเรียนที่ฝั่งธนบุรีถูกปิด เพื่อนของตนคนหนึ่งที่เคยเรียนในโรงเรียนแห่งนั้นก็ถูกจับต้องเข้าไปอยู่สถานพินิจ ขณะที่เพื่อนอีกคนซึ่งอยู่ในโรงเรียนประเภทเดียวกันแต่เป็นกรุงเทพฯ ฝั่งพระนครจมน้ำตายระหว่างกระโดดสะพานหลบหนีการถูกจับกุมฐานวิ่งราวทรัพย์ และแม่ที่รับสภาพไม่ได้ก็ฆ่าตัวตายตามไปอีกคน
“ถามว่าเด็กหลุดออกจากระบบแล้วปัญหานั้นมันหายไปไหม? ปัญหามันยังอยู่แต่มันจะกลับย้อนไปที่ชุมชนและสังคม ดังนั้นผมก็จะบอกเสมอว่าเด็กหลุดออกจากระบบปัญหามันไม่ใช่ซับซ้อน แต่มันเป็นปัญหาที่ทับซ้อน แต่ที่มันทับปีนี้ ทับมากี่คนก็ไม่รู้ ปีหน้าทับมาอีก ถ้าทับมากๆ สังคมเราจะแบกปัญหานี้ไว้ไม่ไหว แล้วสถานพินิจก็อาจจะรับปัญหาไว้ไม่ไหวเหมือนกัน” วิทิต กล่าว
เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 นอกจากจะให้อำนาจหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนแล้ว ยังรวมถึงภาคสังคมด้วยในการจัดการศึกษา ดังนั้น การศึกษาทางเลือกจึงได้รับการรับรองตามกฎหมาย แต่ผ่านมากกว่า 2 ทศวรรษ ภาคสังคมยังประสบกับความยุ่งยากตั้งแต่การยื่นขอจดทะเบียนไปจนถึงการขอรับการสนับสนุนสวัสดิการทั้งอาหารกลางวัน นมโรงเรียน เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน ฯลฯ ที่เด็กในศูนย์การเรียนรู้ไม่ได้รับเหมือนเด็กในโรงเรียน
ดังนั้น ปัจจุบันที่มีกฎหมายใหม่เพิ่งประกาศใช้ คือ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 จึงคาดหวังว่าจะมีกลไกชัดเจนในการสนับสนุนการจัดการศึกษาของภาคสังคม ซึ่งที่ผ่านมาถูกนำไปฝากไว้กับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ก็น่าเห็นใจเพราะ สพฐ. ปกติก็ต้องดูแลนักเรียนจำนวนมากในการศึกษาในระบบอยู่แล้ว ซึ่งการมีกลไกชัดเจนจะทำให้ทั้งผู้ปกครองนักเรียนและสังคมเชื่อถือมากขึ้น จากเดิมที่ไม่มั่นใจว่าส่งบุตรหลานมาเรียนแล้วจะได้วุฒิการศึกษาไปเรียนต่อที่อื่นได้หรือไม่
“แม้กระทั่งสิทธิ์ของครูที่ดูแลเด็กพวกนี้ เขาไม่มีโอกาสได้พัฒนาความรู้ อบรมตามสิทธิ์ที่ควรได้รับ ผมคิดว่าครูในศูนย์การเรียนต่างๆ เขาก็มีสิทธิ์ มีความต้องการจะพัฒนาการจัดการศึกษา การบริหารจัดการศูนย์การเรียน ตรงนี้ผมคิดว่ามีความสำคัญ อยากจะให้องค์กรภาครัฐและกรมส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่นั้นได้เข้าใจ เราคิดว่าถ้าหากตรงนี้จัดการได้ดี จะเป็นส่วนทำให้การศึกษาภาคสังคม หรือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะการจัดการศึกษาแบบลู่เดียวมันตอบโจทย์เด็กทุกคนไม่ได้” เทวินฏฐ์ กล่าว

'นั่นไง รอยยิ้มของฉัน' ย้อนบทสัมภาษณ์ในหลวง ร.9 ตรัสถึงพระพันปีหลวง
ยิปซีพยากรณ์'ดวงรายวัน' ประจำวันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม 2568
ชมพระฉายาลักษณ์ชุดสุดท้าย'พระพันปีหลวง' ที่สำนักพระราชวังเผยแพร่
'กสทช.'ขอความร่วมมือทีวีทุกช่องปรับโทนรายการ แต่งกายขาวดำ ถวายความอาลัย
ทำเนียบรัฐบาล'ลดธงครึ่งเสา' ถวายความอาลัย'สมเด็จพระพันปีหลวง'

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี