จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)
การมีความรู้โดยไม่มีจินตนาการ ไม่ทำให้ความรู้ที่มีนั้นขยายและพัฒนาขึ้น แต่นั่นหมายความว่าต้องมีความรู้จริงๆ เสียก่อน หากไม่มีความรู้จริงๆ แล้วดันมีจินตนาการ ก็หมายความว่า เพ้อ ละเมอ เพราะจะคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดไปแบบเพ้อๆ
วันนี้ เราได้เห็นคนบางกลุ่มมีจินตนาการแบบเพ้อฝันเพราะยังไม่ได้เป็นรัฐบาลอย่างแท้จริง แต่กลับเพ้อว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงโน่น นี่ นั่น สารพัดกระทรวง
ถามว่าทำไมจึงเพ้อ ละเมอ ได้ถึงเพียงนั้น จะตอบว่าเป็นเพราะจินตนาการ ก็คงไม่ใช่ แต่น่าจะมาจากอาการเพ้อ ละเมอ มากกว่า
ถามว่าผิดหรือไม่ที่นักการเมืองจะเพ้อ ละเมอ เรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ
ตอบว่าก็คงไม่ผิดมากนัก หากนักการเมืองสามารถเจรจาตกลงกับนักการเมืองรายอื่นๆ ที่ตกลงปลงใจร่วมรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว แต่หากยังไม่มีการตกลงร่วมรัฐบาลอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แล้วออกมาแสดงอาการเพ้อว่าจะกินตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ตลกมาก และดูๆ แล้วจะเป็นตลกร้องไห้มากกว่าตลกหัวเราะ
การเป็นพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง มิได้หมายความว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป ยกเว้นว่าพรรคนั้นๆ ได้คะแนนเสียงมากเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งสภา โดยได้คะแนนเกินครึ่งชนิดที่ว่าเกินครึ่งไปมากๆ เช่น ได้จำนวน สส. 3 ใน 4 ของสภา หากเป็นแบบนี้ก็มั่นใจได้ว่า ได้เป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน แต่การได้ สส. เพียง 150 ที่นั่ง จากจำนวน สส. ทั้งหมด 500 ที่นั่ง แบบนี้ อาจจะเร็วเกินไปที่จะประกาศว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี
การที่พรรคการเมืองที่มี สส. 150 คน เร่งประกาศว่าตนเองคือนายกรัฐมนตรี มันคือการประกาศแบบตีกิน การประกาศเช่นนี้ เป็นเสมือนการเล่นลิเกการเมือง เพราะยังต้องอาศัยเสียงของ สส. จากพรรคอื่นๆ อีกอย่างน้อย 100 คน จึงจะถือว่ามีเสียงในสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่ง
การเป็นรัฐบาลผสม หมายความว่าต้องแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์กัน ยิ่งไปดึง ไปเชิญ ไปดูด ไปลาก ไปอะไรก็ตาม เพื่อให้พรรคอื่นเข้ามาร่วมด้วย ก็หมายความว่าต้องแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ให้เขา
อย่าไปเพ้อว่า ฉันมี 150 ที่นั่ง แล้วคนอื่นมี 8 ที่นั่งหรือ 5 ที่นั่ง หรือเพียง 2 ที่นั่ง แล้วเขาจะไม่เรียกร้องอะไรในการเชิญเขาเข้าร่วมรัฐบาล เพราะการร่วมรัฐบาลคือการเข้ามาขอแชร์อำนาจและผลประโยชน์ทางการเมือง หากเขาเข้าร่วมรัฐบาลโดยเขาไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ตอบได้เลยว่า ไม่มีใครเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน
ยิ่งมีพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้นเท่าไร ก็ต้องแบ่งต้องแชร์ผลประโยชน์และอำนาจให้กับคนจำนวนมากขึ้น เพราะต้องไม่ลืมความจริงว่า แม้พรรคที่มีสองเสียงก็ตาม เมื่อเขาเข้าร่วมรัฐบาล ก็หมายความว่าเขาก็ต้องการจะเป็นรัฐมนตรี
กลับมาดูสภาพการเมืองไทยยุคหลังเลือกตั้งเพิ่งผ่านพ้นไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์ เราจะพบว่าทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพหลับๆ ตื่นๆ เพ้อๆ ฝันๆ เพราะจนถึงบัดนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคที่ได้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่งจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจริงๆ แม้จะมีความพยายามปล่อยข่าวสร้างภาพสารพัดว่าหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งคือนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นเพียงรัฐมนตรีแบบฝันๆ
อย่าลืมว่ายังต้องมีอีกหลายขั้น หลายตอน และหลายฉากการเมือง กว่าจะชัดเจนว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ แล้วก็ต้องไม่ลืมว่า พรรคที่ได้เสียงมาเป็น
ลำดับที่สอง เขาก็หวังและฝันว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วย ยิ่งมีคะแนนเสียงห่างกันแค่ 10 ที่นั่งเท่านั้น ก็ต้องไม่ลืมว่าเขาก็มีสิทธิ์ฝันและหวังว่าเขาจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วย
ถามว่าตอนนี้ ขณะนี้มีการจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคที่ได้เสียงเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ ตอบชัดๆ ได้เลยว่า sure แล้วจะยิ่งชัดและ sure มากขึ้น หากผ่านไป 2 สัปดาห์แล้ว
แต่พรรคอันดับหนึ่งยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
ขอย้ำ และย้ำอีกครั้งว่า การจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยได้ในยุคนี้ ต้องมีเสียงในรัฐสภาสนับสนุนอย่างน้อย 375 เสียง เพราะต้องอาศัยความเห็นชอบจาก สว. ด้วย
ดังนั้น หาก สว. ไม่สนับสนุน ก็เท่ากับปิดฉากความฝันของการเป็นนายกรัฐมนตรีไปโดยปริยาย ต่อให้หัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งจะพยายามปลุกระดมว่า หากฉันไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ fandom หรือสาวก หรือลูกๆ ของฉันจะออกไปก่อจลาจลประท้วงเผาบ้านเผาเมืองก็ตาม
น่าสนใจในประเด็นที่ว่า หากหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ แล้ว สาวก fandom ของเขาจะก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองจริงๆ หรือ สาวกของเขาจะบ้าคลั่งเหมือนเด็กผู้หญิงสองคนที่คลั่ง ราวกับคนเสียสติที่จงใจก่อเหตุป่วนสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯหรือไม่
แต่เอาแค่ภาพความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากเมืองไทยทราบข่าวเรื่องพรรคอันดับหนึ่ง แล้วปรากฏว่าดัชนีหุ้นไทยตกหนักตั้งแต่เปิดตลาดเมื่อวันจันทร์หลังเลือกตั้ง แล้วก็ยังตกลงมาเรื่อยๆ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม เพียงเท่านี้ก็บอกได้ชัดเจนพอสมควรแล้วว่า ปฏิกิริยาของตลาดหุ้นไทยกับการมีพรรคการเมืองอันดับหนึ่งที่ชื่อก้าวไกล เป็นอย่างไร คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากกว่าภาพจริงที่ปรากฏ
กลับไปเรื่องการร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ย้ำว่า เมื่อมีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลมากๆ ก็หมายความว่าต้องแบ่งอำนาจและผลประโยชน์ให้ทั่วถึง เมื่อต้องแบ่งอำนาจและผลประโยชน์แล้ว พรรคอันดับหนึ่งจะเหลืออะไร หรือจะเอาแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว หรืออาจจะควบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีกลาโหม ตามที่เพ้อ แต่ก็ต้องตอบให้ได้ว่า แล้วจะแบ่งกระทรวงไหนให้กับพรรคร่วมรัฐบาล หรือยังคงฝันต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องแบ่งกระทรวงใดๆให้พรรคร่วมรัฐบาล เพราะเป็นพรรคที่มีเสียงเพียง 1-2 เสียงเท่านั้น
ต้องถามหัวหน้าพรรคการเมืองอันดับหนึ่งว่า เคยได้ยินคำว่า มากหมอ มากความหรือไม่ หากเคยได้ยิน แล้วทราบความหมายแท้จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่าเมื่อมากหมอ ก็มากความ ดังนั้น ก็หมายความว่า หากไม่แบ่งกระทรวงให้กับพรรค 1-2 เสียง ก็หมายถึงความโกลาหลจะบังเกิดกับพรรคร่วมรัฐบาลในบัดดล
ถามง่ายๆ ตรงๆ ว่า คิดว่าพรรคของเสรีพิศุทธ์เตมียเวส จะยอมนั่งเก้าอี้ลมหรือ แล้วคิดหรือว่าจะให้เขานั่งเก้าอี้ในกระทรวงจิ๋วๆ ได้ คิดว่าเขาจะยอมหรือ แล้วอย่าลืมว่าพรรคของสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ก็เช่นกัน สุดารัตน์จะยอมนั่งเก้าอี้ลมหรือ
นี่แค่เริ่มคิด ก็ส่อให้เห็นถึงความโกลาหลแบบมหาโกลาหลแล้ว แล้วถ้าเป็นสูตรพรรคอันดับหนึ่งจับมือกับพรรคอันดับสอง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะโกลาหล มหาโกลาหลเพียงใด
คิดหรือว่าพรรคอันดับสองจะไม่อยากได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วคิดหรือว่าพรรคอันดับสองจะไม่ต้องการกินเก้าอี้กระทรวงบิ๊กๆ บึ้มๆ เบิ้มๆ หรือพรรคอันดับหนึ่งจะประกาศให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีสองคนเหมือนยุคหนึ่งที่เขมรเคยมี แล้วจะเพิ่มเก้าอี้รัฐมนตรีให้มากขึ้น เพื่อให้เพียงพอกับความอยากได้ของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค
ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่คิดเรื่องจะให้เก้าอี้กระทรวงไหนกับ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสุชาติตันเจริญ คิดเพียงสามคนนี้ ก็เจอปัญหาสนุกสนานแล้ว
ไหนจะต้องแบ่งเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ ให้กับคนของพรรคอันดับหนึ่งอีก เพราะได้ยินว่าคนของพรรคอันดับหนึ่งก็ประกาศแล้วว่าจะไปนั่งเก้าอี้กระทรวงการคลัง เก้าอี้กระทรวงสาธารณสุข เก้าอี้กระทรวงมหาดไทย
สรุปคือ ฝันต่อไปเรื่อยๆ ฝันต่อไปจนกว่าจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริง แล้วจะรู้ว่าการฝันว่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีมันง่ายมาก เพราะแค่กินข้าวให้อิ่มแล้วนอนหลับฝัน เพียงเท่านั้นก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เป็นนายกรัฐมนตรีในฝันเท่านั้น หากต้องการเป็นนานๆ ก็ต้องฝันไปนานๆ อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมา หรือหากจะให้ดี
ก็ฝันไปเรื่อยๆ โดยอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราก็แล้วกัน จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ใช้ได้จริงกับคนที่รู้จริงและรู้แจ่มแจ้ง แต่สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เลยนั้น ต่อให้มีจินตนาการมากมายสักเพียงใด มันก็คือความฝัน และละเมอเท่านั้น
การเป็นนายกรัฐมนตรีในความฝันมันง่ายกว่าเป็นในความจริง และคนที่ฝันว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วยิ้มหวานบนเตียง ก็คือนายกรัฐมนตรีในความฝัน ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีจริงๆ แล้วถ้ายิ่งนายกรัฐมนตรีในฝันขู่ว่าหากตื่นมาแล้วไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟก็ต้องบอกว่า ก็ต้องลองดูว่า fandom ของนายกรัฐมนตรีในฝันจะกล้าลุกขึ้นมาเผาบ้านเผาเมืองจริงๆ หรือไม่ หากกล้าทำจริงก็ต้องบอกว่าต้องมีเหตุล้มตายจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
การล้มตายจริงๆ ไม่เหมือนกับการล้มตายในความฝัน เลือดจริง ไม่เหมือนกับเลือดในความฝัน แล้วก็ต้องบอกด้วยว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ฝัน เพราะเขาตื่นและเขาอยู่กับความจริง เพราะฉะนั้น หากนายกรัฐมนตรีในฝันจะยังฝันต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีใครห้าม แต่ย้ำว่า หากบ้านเมืองลุกเป็นไฟจริงๆ แล้วนายกรัฐมนตรีในฝันยังไม่ตื่น ก็หมายความว่า นายกรัฐมนตรีในฝันน่าจะต้องตายคาความฝัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี