รัฐบาลคือตัวแสดงสำคัญตัวหนึ่งที่ส่งผลให้ประเทศชาติดีขึ้นหรือเลวลง เพราะรัฐบาลมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน กำหนดนโยบายสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงนโยบายการเมืองทั้งภายในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ
รัฐบาลที่ดีต้องกำหนดนโยบายสาธารณะที่สามารถปฏิบัติได้จริง ต้องไม่นำนโยบายประชานิยมมามอมเมาหลอกล่อประชาชน และต้องไม่สร้างความแตกแยกให้กับประชาชนโดยผ่านนโยบายต่างๆ
เมืองไทยเคยผ่านการเมืองรัฐบาลรูปแบบต่างๆ มาแล้ว มีทั้งเผด็จการสุดๆ และรัฐบาลแบบกึ่งๆ เผด็จการ แล้วสังคมไทยก็เคยมีรัฐบาลที่ดูเสมือนว่าจะมีความเป็นเสรีนิยมอย่างค่อนข้างมาก
วันนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ โดยยังไม่มีความแน่นอนว่ารัฐบาลใหม่จะมีรูปร่าง รูปลักษณ์ และส่วนผสมอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียวอย่างแน่นอน และคงจะเป็นไปได้ยากมากที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในอนาคตอันใกล้ ยกเว้นมีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่ต่อให้เป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ก็ยังคงต้องอาศัยนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาร่วมเป็นรัฐบาลอยู่ดี
พูดถึงพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่งในขณะนี้คือพรรคก้าวไกล แต่ก็ไม่มีใครยืนยันว่าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นรัฐบาล แล้วก็ไม่มีใครยืนยันเช่นกันว่า หัวหน้าพรรคก้าวไกลจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้หัวหน้าพรรคก้าวไกลจะพยายามตีขลุมตลอดเวลาว่าตนเองคือนายกรัฐมนตรี และพรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็ตาม
สิ่งที่พรรคก้าวไกลย้ำมาโดยตลอดคือ ยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ยกเลิกทุนผูกขาด แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ห้ามการทำรัฐประหาร เพิ่มสิทธิของประชาชนเพื่อต่อต้านการทำรัฐประหาร ห้ามศาลทุกศาลรับรองรัฐประหารผู้ทำรัฐประหารมีความผิดฐานก่อกบฎ ยกเลิก สว. ที่แต่งตั้งโดย คสช. ยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และยังมีนโยบายประชานิยมอีกสารพัดชนิด
ประเด็นที่พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญมากคือยกเลิกมาตรา 112
ถามว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงมีปัญหากับมาตรา 112 มาก ก็มีผู้ตอบว่า อาจจะเนื่องมาจากแกนนำพรรคก้าวไกล ผู้ก่อตั้งพรรคก้าวไกล นายทุนพรรคก้าวไกล
และผู้กำหนดยุทธศาสตร์พรรคก้าวไกลคงไม่นิยม ไม่ศรัทธา และไม่ยกย่องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อเขาไม่นิยม ไม่ศรัทธา ก็จึงพยายามทุกหนทางที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูญสลายไปจากสังคมไทย
เราสามารถสังเกตพฤติกรรม คำพูด ทัศนคติของแกนนำพรรคก้าวไกล รวมถึงบรรดา สส. พรรคก้าวไกลที่แสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ในโอกาสต่างๆ ยิ่งสังเกตใกล้ชิดมากเท่าไร ก็จะยิ่งเข้าใจว่าพรรคก้าวไกลคิดอย่างไรกับสถาบันพระมหากษัตริย์
นอกจากนี้เรายังสามารถถอดรหัสความนัยจากคำพูดในโอกาสต่างๆ ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กล่าวถึงมาตรา 112 ได้เป็นอย่างดี แล้วถ้ายิ่งเอาหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่องพรรคก้าวไกลทำสติ๊กเกอร์ ยกเลิกมาตรา 112 แล้วนำไปติดตามป้ายหาเสียงของพรรค รวมถึงบนเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรค ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้กระจ่างชัดว่า พรรคก้าวไกลไม่ต้องการให้มีมาตรา 112 อีกต่อไป
ถามย้ำอีกว่า ทำไมพรรคก้าวไกลต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 การเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 คือการปูทางไปสู่การยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ ประเด็นนี้ต้องดูการกระทำและการเคลื่อนไหวทุกชนิดของพรรคก้าวไกลให้ชัดเจนทุกฝีก้าว
สำหรับคอการเมืองไทยตัวจริง จะเห็นว่าช่วงระยะเวลาก่อนเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคก้าวไกลเน้นเรื่องยกเลิกมาตรา 112 อย่างมาก และเน้นหนักเป็นประจำทุกครั้งเมื่อเปิดเวทีหาเสียง ครั้นเมื่อพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง พรรคก้าวไกลก็ย้ำเรื่องยกเลิกมาตรา 112 หนักแน่นขึ้น
จนกระทั่งมาถึงคราวที่พรรคก้าวไกลรู้ตัวแล้วว่า ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้เพียงลำพัง เพราะมีเพียง 150 เสียงเท่านั้น ก็จึงจำเป็นต้องอาศัยเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่พรรคก้าวไกลสรรเสริญเยินยอซีกของตัวเองว่าเป็นพรรคนิยมเสรีประชาธิปไตย พรรคหัวก้าวหน้า พรรคต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร และพรรคไม่นิยมพวกเผด็จการทหารนิยม
เมื่อพรรคก้าวไกลรู้ตัวเป็นอย่างดีแล้วว่า ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพียงลำพังได้ ก็จึงต้องชักชวนพรรคการเมืองอื่นๆ เข้ามาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ครั้นเมื่อมีสมาชิกจากพรรคอื่นๆ อีก 7 พรรคแสดงท่าทีว่าต้องการร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ก็ทำให้สังคมได้ประจักษ์ว่าพรรคก้าวไกลไม่กล้าระบุประเด็นแก้ไขหรือยกเลิก มาตรา 112 ไว้ในข้อตกลงร่วมระหว่างพรรค
อย่างไรก็ตาม คอการเมืองไทยจับไต๋ของพิธาในเรื่องยกเลิก มาตรา 112 ได้ชัดเจนว่า พิธายังคงมุ่งมั่นจะต้องยกเลิกมาตรา 112 ให้จงได้ แม้พรรคการเมืองที่ประกาศจะร่วมตั้งรัฐบาลกับพิธาจะไม่สนับสนุนความคิดยกเลิก มาตรา 112 ก็ตาม โดยพิธาบอกว่าจะนำเรื่องแก้ไขมาตรา 112 เข้าไปหารือในเวทีการประชุมสภาในโอกาสต่อๆ ไป
พิธา ตั้งใจเล่นเกมการเมืองด้วยการกระทำเสมือนตบหน้าประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดยจงใจประกาศ MOU (บันทึกความเข้าใจร่วมกัน)ของพรรคการเมือง 8 พรรค ที่ทำเสมือนจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยจงใจประกาศ MOU ของทั้ง 8 พรรคในวันที่ 22พฤษภาคม 2566 โดยประกาศในเวลา 16.50 นาฬิกา แล้วพิธาก็อ้างว่าการประกาศ MOU คือการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อลบล้างประวัติศาสตร์หน้าที่เกิดจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 แล้วพิธาก็ประกาศว่า นับเป็นความสำเร็จของสังคมไทยที่สามารถนำสังคมกลับมาสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยผ่านกระบวนการรัฐสภาโดยสันติได้อีกครั้ง
อันที่จริง สิ่งที่พิธาอ้างนั้น เป็นเรื่องที่เกินจริงหลายประการ เพราะการร่วมลงนามใน MOU ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามกลไกรัฐสภา แต่เป็นการกระทำที่อาจจะไม่ต่างไปจากการจงใจเล่นละครการเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เป็นการเล่นละครการเมืองเพื่อทำให้หัวใจของพิธาเกิดความพองโตขึ้น แล้วก็ดูไม่ต่างไปจากการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง ในยามที่ตัวเองยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแท้จริง
ย้อนกลับไปที่ประเด็น แก้ไขมาตรา 112 หรือยกเลิกมาตรา 112 โดยพรรคก้าวไกลแม้เรื่องนี้จะไม่ได้ถูกบรรจุใน MOU เพราะหากบรรจุลงไป ก็เท่ากับจะเกิดสภาพโกลาหลในการเจรจาทำ MOU แล้วอาจส่งผลให้ MOU ถูกฉีกทิ้งลงโดยพลัน เพราะไม่น่าจะมีพรรคการเมืองใดที่ร่วมบนเวทีMOU กล้าพูดตรงๆ ว่าไม่ต้องการมาตรา 112เพราะต้องไม่ลืมว่า หากประกาศเช่นนั้นออกไป ก็เท่ากับจงใจเปิดศึกโดยตรงกับประชาชนที่ให้การสนับสนุนมาตรา 112 ซึ่งมีมากกว่าจำนวนประชาชนกลุ่มที่เลือกพรรคก้าวไกล
แต่ต้องย้ำว่า การเดินเกมไม่บรรจุเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 ใน MOU มิได้หมายความว่าพรรคก้าวไกลจะยุติเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 ไปโดยสิ้นเชิง แต่พรรคก้าวไกลจะเดินหน้าการยกเลิกมาตรา 112 โดยอาศัยกลวิธีทางรัฐสภาในอนาคต หากพิธาสามารถฝ่าด่านเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี และได้ประธานรัฐสภาเป็นคนจากพรรคก้าวไกล
แต่ทั้งหมดที่พิธาต้องการคือความฝันส่วนตัวของพิธา และอาจจะเป็นการร่วมกันฝันของแกนนำพรรคก้าวไกลจำนวนหนึ่งที่ร่วมกันฝัน แต่ดันให้พิธาเป็นตัวแสดงหลัก หลายคนมองไปถึง ชัยธวัช ตุลาธน หรือ ชัยธวัช แซ่โค้ว ชายอายุ 44 ปีจากหาดใหญ่ แล้วมาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่มีความมักคุ้นกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วไปร่วมกันตั้งสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน แล้วก็ไปร่วมกันตั้งพรรคอนาคตใหม่
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า ชัยธวัชคือคนยุค 6 ตุลาฯ 19 ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่เลย เขาคือคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แต่เขาอาจจะรู้จักคนยุค 6 ตุลาฯ บางกลุ่มเท่านั้น ก็เลยทำให้คนที่ไม่รู้จักชัยธวัชอย่างลึกซึ้ง เข้าใจผิดคิดว่าเขาคือคนรุ่น 6 ตุลาฯ ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่าชัยธวัชเกิดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ
ชัยธวัชคือตัวจักรกลสำคัญตัวหนึ่งที่พยายามผลักดันให้พิธาได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อจากประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่คอการไทยก็มองตรงกันว่า ความพยายามของชัยธวัชในเรื่องนี้ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีใครเคยยืนยันว่าพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งจะได้เป็นรัฐบาล แล้วก็ไม่เคยมีใครยืนยันด้วยว่า หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้ที่หนึ่งในการเลือกตั้งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แม้พิธาจะฝันไปไกลถึงไหนต่อไปแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีใครยืนยันว่าเขาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อให้เขาใช้กลอุบายผ่านระบบออนไลน์สารพัดชนิดว่าเขาคือนายกรัฐมนตรีของไทย แต่ความจริงก็คือมันเป็นแค่ความฝันของพิธาเท่านั้น กลอุบายของพิธาผ่านออนไลน์อาจช่วยกระพือความฝันของ fandom ที่คลั่งไคล้พรรคก้าวไกล และใหลหลงในหน้าตาของพิธาได้มากก็จริง แต่ขอย้ำว่ามันคือความฝันเท่านั้น
พิธาจะฝันหวานอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ความจริงที่แสดงออกมาชัดๆ แล้วคือ หลังจากสังคมไทยเห็นว่าพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ก็เกิดปรากฏการณ์สองเรื่องขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ fandom สีส้มก้าวไกลดีใจสุดขีด แต่ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยหัวทิ่มดิ่งนรกมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 แล้วก็ยังคงดิ่งลงมาเรื่อยๆ จนถึงบัดนี้
น่าขบขันตรงที่คนซึ่งฝันจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังจากพรรคก้าวไกล แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ตรงด้านกระทรวงคลังแม้แต่น้อยนิด ใช้การเล่นลิ้นว่า หุ้นตกเพราะเขากลัวก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล
โอย! คนเรานี่หนอ โกหกได้แม้กระทั่งภาพของตนที่มองเห็นชัดๆ จากกระจกเงาบานใหญ่ที่ตนกำลังยืนส่องดูเงาของตน ก็จะให้คนชอบโกหกพูดความจริงได้อย่างไรเล่า เพราะคนโกหกก็ต้องพูดโกหกตลอดเวลา ต่อให้ภาพของตนที่ปรากฏชัดในกระจกเงามันบอกตรงๆ โต้งๆ ว่าหน้าตาอัปลักษณ์สุดขีด คนโกหกก็ต้องบอกว่าฉันสวยที่สุดในสามโลก โดยเฉพาะในนรกภูมิ
คนโกหกรู้ดีว่าจำเป็นต้องโกหกเพื่อให้ตัวเองสบายใจไปเรื่อยๆ ถึงแม้จริงๆ แล้วก็รู้อยู่เต็มอกว่าหน้าตาอัปลักษณ์เกินบรรยาย แต่เพื่อความสบายใจก็ต้องบอกว่างามที่สุดในสามโลก
ปล่อยเขาไปเถอะ จนกว่าเขาจะยอมรับความจริงได้ในที่สุด คนพรรค์อย่างนี้กลัวความจริงมากกว่าทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่กับความฝันไปเรื่อยๆ ปล่อยเขาฝันต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี