วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / เขียนให้คิด
เขียนให้คิด

เขียนให้คิด

เฉลิมชัย ยอดมาลัย
วันอาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2566, 02.00 น.
แก้ความยากจนโดยนักการเมือง ยิ่งเพิ่มความยากจน

ดูทั้งหมด

  •  

เราได้เห็นการหาเสียงของนักการเมืองมานานเนแล้วว่า จะแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชน บางรายก็โกหกแบบหน้าไม่อายว่า จะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศไทย แต่ทว่าคำกล่าวเหล่านั้นก็เป็นแค่เพียงคำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะไม่เคยปรากฏว่านักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐบาลจะมีปัญญาแก้ปัญหาความยากจนได้จริงๆ 

มีคำกล่าวเชิงเสียดสีว่าอันที่จริงนักการเมืองไม่ต้องการให้ประชาชนมีฐานะดี และไม่ต้องการให้ประชาชนมีความรู้ หรือมีความฉลาด เพราะหากประชาชนมีฐานะดี มีสติปัญญาดีแล้ว นักการเมืองก็จะไม่สามารถโกหกประชาชนได้อีกต่อไป นักการเมืองจะฉ้อฉลหมกเม็ด โกงบ้านกินเมืองได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้น นักการเมืองจำพวกที่หาเสียงด้วยการโกหกจึงทำทุกหนทางให้ประชาชนยากจน และขาดสติปัญญา 


ถามว่าทุกวันนี้มีคนยากจนในประเทศไทยหรือไม่ ตอบว่ามี 

ถามต่อไปว่า คนยากคนจนในประเทศไทยยุคนี้ มีมากหรือน้อยกว่ายุค 40-50 ปีที่ผ่านมา ตอบว่ามีน้อยกว่า แต่สังคมไทยไม่เคยแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไปได้ แม้จะมีจำนวนคนยากจนลดลงกว่าอดีตก็ตาม

ถามต่อไปว่า ทำไมคนไทยจำนวนไม่น้อยจึงยังยากจน ทั้งๆ ที่รัฐบาลทุกชุดประกาศว่าจะแก้ปัญหาความยากจนให้คนไทย คำตอบนี้ตอบยากมาก เพราะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่รัฐบาล ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจรัฐสูงสุดของประเทศยังไม่มีปัญญาแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อคนมีอำนาจรัฐสูงสุดยังไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ แล้วจะให้ใครแก้ปัญหานี้ 

ขอถามอีกข้อหนึ่งว่า ทุกวันนี้รัฐบาลไทยรู้หรือไม่ว่าคนไทยรายใดเป็นคนจนจริงๆ บ้าง รัฐบาลตอบได้ไหมว่าคนไทยที่จนจริงๆ และต้องได้รับความช่วยเหลือโดยเร่งด่วนมีจำนวนเท่าไร 

เหตุที่ถามคำถามนี้ เพราะเห็นว่าเวลารัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อว่าจะแก้ปัญหาความยากจน แต่กลับใช้การหว่านแจกเงินไปโดยสะเปะสะปะ เงินที่หว่านแจกไปไม่ลงไปถึงมือของคนยากคนจนตัวจริง แต่กลับกระจายไปอยู่ในมือของคนที่ไม่จำเป็นต้องได้รับเงินแจกจากรัฐบาล การหว่านแจกเงินสะเปะสะปะเช่นนี้คือการสร้างภาระหนี้สินก้อนใหญ่ให้ประเทศชาติ และสร้างภาระหนี้สินให้กับคนไทยทุกคน

เมื่อรัฐบาลไร้ปัญญา ไร้ข้อมูลเรื่องคนยากคนจนตัวจริง ก็ทำให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงเป้าตรงประเด็น แต่หากจะมองอีกมุมหนึ่ง ก็อาจจะเชื่อได้ว่า การที่รัฐบาลไม่ยอมแก้ปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไป หรือพูดอีกมุมคือ การที่รัฐบาลพยายามเลี้ยงปัญหาความยากจนไว้ ก็เพราะรัฐบาลสามารถหากินกับคนยากคนจนได้เรื่อยไปดังนั้น จึงต้องพยายามทำให้สังคมยังมีคนยากคนจนต่อไปเรื่อยๆ เพราะการมีคนยากจน ทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างในการหาคะแนนนิยมกับคนจนได้

สำหรับประเทศไทย มีการทำแผนแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนมานานพอสมควรแล้ว โดยเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ปี 2504-2506 ขณะเดียวกัน เมื่อศึกษาแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับต่างๆ ก็จะพบหลักฐานชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนในสังคมไทย ปรากฏอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (2566-2570) แต่ปัญหาความยากจนก็ไม่ได้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำโดยอาศัยข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ว่า ปัจจุบันจำนวนคนยากจนในไทยลดลง เหลือเพียงประมาณ 4-5 ล้านคน แต่ถึงแม้จำนวนคนยากจนจะลดลง แต่ปัญหาความยากจนไม่ได้หมดไปจากประเทศไทย แต่ดูเสมือนว่าจะฝังรากลึกลงบนแผ่นดินไทย และหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ จนดูเสมือนว่าไม่มีวันขจัดให้ปัญหานี้หมดสิ้นไปได้

สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ในจำพวกคนยากจนในประเทศไทย จะได้แก่คนในกลุ่มต่อไปนี้ กลุ่มตนสูงอายุที่มีรายได้น้อยผู้มีการศึกษาต่ำกว่าการศึกษาภาคบังคับ คนไร้งานทำ คนว่างงาน คนตกงาน คนไม่มีบ้านเป็นคนตนเอง คนมีหนี้นอกระบบจำนวนมาก กลุ่มคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น กลุ่มเกษตรกรที่มีฐานะยากจน และกลุ่มผู้ทำงานอิสระที่มีงานไม่แน่ไม่นอน ชาวนาที่ต้องเช่าที่นาเพื่อปลูกข้าว รวมถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม 

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จำนวน 9.7 ล้านคนและพบว่าคนยากจนอีกกลุ่มหนึ่งมีเงินฝากในธนาคารน้อยกว่า 5 พันบาท จำนวน 12.1 ล้านคน นี่คือข้อมูลเบื้องต้นที่ใช้ระบุว่าใครคือคนยากจน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ทราบว่าคนไทยจำนวนกี่มากน้อยที่มีฐานะยากจน โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน ซึ่งการมีตัวชี้วัดเช่นนี้ ช่วยทำให้รัฐบาลทราบได้ว่าใครคือคนยากจนที่แท้จริงดังนั้นเมื่อจะช่วยคนยากจนก็จึงสามารถช่วยได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย 

แต่ก็น่าอัศจรรย์ใจมากที่ถึงแม้เราจะมีข้อมูลของคนยากคนจนอยู่ในสารบบก็ตาม แต่ถึงกระนั่น ก็ยังคงมีนักการเมืองจำพวกชอบโกหกประชาชน ที่ชอบการโฆษณาชวนเชื่อ ชอบการสร้างภาพ ยังคงพยายามโหมโฆษณาโกหกประชาชนอยู่ตลอดเวลา โดยเน้นการโกหกเรื่องการหว่านแจกเงินแบบไม่เลือกกลุ่มที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องแจกเงินทุกคน คนละ 1 หมื่นบาท 

ถามว่าทำไมต้องแจกเงินให้คนทุกคนคนละ 1 หมื่นบาท ทั้งๆ ที่คนไทยทุกคนไม่ใช่คนยากคนจน แล้วจะไปแจกเงินให้คนที่ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับเงินแจก เพื่ออะไรมิทราบ แต่ก็มีผู้รู้ทันกลโกงเรื่องนี้ ตอบว่า คนที่ทำนั้น ทำไปเพื่อการหาเสียง หาคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เป็นการหาความนิยมทางการเมืองให้ตนเอง โดยการจงใจก่อหนี้ก่อสินให้กับประเทศมากขึ้น

น่าสังเวชที่นักการเมืองไทยไม่หาข้อมูลเชิงประจักษ์มาใช้เป็นฐานในการหาเสียง หาคะแนนนิยมทางการเมือง ทั้งๆ ที่มีข้อมูลตัวเลขคนยากคนจนในสังคมไทยให้ใช้อ้างอิง แต่กลับปรากฏว่านักการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบกลับเลือกใช้การหว่านเงินไปแบบหลับหูหลับตา ทั้งๆที่การหว่านแจกเช่นนั้นทำให้เกิดปัญหาหนี้สินของประเทศตามมาเป็นจำนวนมหาศาล

ถามจริงๆ เถอะ การแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้คนไทย จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยตกต่ำ หรือแก้ปัญหาความยากจนของประเทศได้จริงหรือ รัฐบาลโง่เขลาจนไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรือ หรือจำเป็นต้องแกล้งโง่ เพราะเมื่อแกล้งโง่แล้ว ทำให้เกิดผลดีต่อรัฐบาล แต่ไม่นำพาว่าจะเกิดผลเสียร้ายแรงอย่างไรต่อประเทศชาติ

ถามอีกครั้งว่า การแจกเงิน 1 หมื่นบาทจะทำให้ปัญหาความยากจนในเขตชนบท หรือในเขตตัวเมืองของประเทศไทยถูกขจัดให้หมดสิ้นไป กระนั้นหรือ รัฐบาลมั่นใจจริงๆ หรือ

นอกจากการจงใจหว่านเงินให้ประชาชนหัวละ 1 หมื่นบาทแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่น่าสงสัยอีกประการคือ การพักหนี้ให้เกษตรกร ถามว่ากี่รัฐบาลมาแล้วที่ทำโครงการพักหนี้ให้เกษตรกร ซึ่งก็ต้องถามต่อว่า แล้วแก้ปัญหาความยากจนให้เกษตรกรได้หรือไม่ เพราะเห็นชัดว่าทำโครงการพักหนี้เกษตรกรมาหลายปีแล้ว แต่หนี้สินเกษตรกรไม่เคยหมดสิ้นไปพักหนี้แล้วใครเป็นคนรับผิดชอบภาระหนี้ การพักหนี้ไม่ได้หมายถึงการล้างหนี้แต่มันคือการประวิงเวลา ยืดปัญหาออกไปโดยไม่ได้แก้ปัญหาให้หมดสิ้นไป 

รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่อ้างว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกร แต่สุดท้ายก็ใช้แนวทางแก้ปัญหาแบบเดิมเหมือนๆ กับรัฐบาลที่ผ่านๆ มาคือประกาศพักหนี้เกษตรกร 

สำหรับหนี้ของเกษตรกรมีประมาณ 2.8 แสนล้านบาท (ตัวเลขล่าสุด 16 กันยายน 2566) รัฐบาลเศรษฐาอ้างแบบสวยหรูว่า ต้องบรรเทาความเดือดร้อนด้านหนี้สินให้เกษตรกร เพราะรัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งก็ต้องถามว่าแล้วรัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรอกหรือ หรือว่าประชาชนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ส่วนพรรคอื่นๆ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 

น่าสมเพชที่รัฐบาลดีแต่อ้างลมๆ แล้งๆ เรื่องการมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยพูดไปราวกับว่ารัฐบาลอื่นๆ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งเป็นการอ้างแบบยกตนข่มท่านเท่านั้น 

การพักหนี้เกษตรกรเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้พยายามผลักดันเหมือนๆ กับหลายรัฐบาลที่ผ่านมา เพราะเชื่อว่าจะทำให้ได้คะแนนนิยมจากกลุ่มชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเป็นหนี้ย้อมจะต้องพอใจกับการได้พักหนี้ แต่ทว่าสิ่งที่คนเป็นหนี้ไม่เคยสำเหนียกคือ แล้วหนี้ที่ถูกพักนั้นได้กลายเป็นภาระของใคร หนี้ที่ถูกพักไม่ได้ถูกล้างให้หมดสิ้นไป เพียงแต่ถูกกวาดไปเก็บไว้ใต้พรม แล้วรอวันโผล่พ้นพรมออกมาสร้างปัญหาใหญ่ให้สังคมอีกครั้ง 

รัฐบาลเคยรู้หรือไม่ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) มีสภาพเป็นลูกหนี้เรื้อรัง เป็นผู้มีหนี้แต่ไม่สามารถปิดบัญชีหนี้ให้จบไปได้ การที่รัฐบาลชุดนี้จะประกาศพักหนี้ให้เกษตรกร ก็เป็นเพียงการประวิงมูลหนี้ออกไป แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาหนี้สินให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด 

หากรัฐบาลจริงใจกับการแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรจริงๆ รัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้กลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้สินเรื้อรังให้ได้ก่อน อย่าลืมว่าลูกหนี้กลุ่มนี้ไม่สามารถชำระหนี้เพื่อให้ลดเงินต้นลงได้ และไม่มีโอกาสแก้ปัญหาหนี้สินได้ด้วยตนเอง จึงต้องให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไขปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ใช่แก้ปัญหาแบบขอไปที หรือลูบหน้าปะจมูก ทำไปเพื่อหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่สามารถแกัปัญหาหนี้สินที่แท้จริงได้

ต้องบอกตรงๆ อีกว่า การออกนโยบายแก้ปัญหาหนี้สินให้ชาวบ้านโดยรัฐบาลนั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดตรงประเด็น แต่เป็นการแก้ปัญหาแบบเหวี่ยงแห แล้วสุดท้ายจะส่งผลลบอย่างหนักต่อวินัยการเงินของประเทศ แล้วส่งผลกระทบต่อระบบการเงินการคลังของประเทศในที่สุด

การประกาศพักหนี้ให้เกษตรกรทั่วไป ก็ไม่ต่างจากการโฆษณาว่าจะหว่านแจกเงินให้ประชาชนรายละ 1 หมื่นบาท เพราะเป็นการแจกแบบหว่านแห ทั้งๆ ที่เกษตรบางรายมีความสามารถชำระหนี้ได้ แต่กลับจะไปยืดหนี้ของเขาออกไป ซึ่งจะทำให้เกิดการเสียวินัยทางการเงินของคนที่มีความสามารถชำระหนี้ได้

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนโดยรัฐบาลที่ไร้ความรู้ ความเข้าใจเรื่องการแก้หนี้ที่แท้จริง โดยมุ่งแต่จะหาเสียงหาคะแนนนิยมทางการเมืองเป็นสำคัญ ไม่สามารถแกัปัญหาหนี้สินของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่จะยิ่งทำให้ปัญหาหนี้สินของประเทศขยายตัวมากขึ้น โดยไม่ได้ขจัดปัญหาเดิมให้หมดสิ้นไป การแก้ปัญหาที่ขาดความจริงใจเช่นนี้ คือการเลี้ยงปัญหาหนี้สินของประเทศให้บานปลายไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันแก้ปัญหาได้จริง 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
15:41 น. แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ
15:40 น. 'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน
15:35 น. สองผัวเมียอารมณ์ดี! ‘ขายหอยครก 6 ราง’ ทำขายแทบไม่ทัน-ลูกค้าเพียบ
15:20 น. ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย 3 อำเภอในยะลา
15:14 น. 'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว
ดูทั้งหมด
ภาพอบอุ่นใจความรักที่งดงามของ 'กษัตริย์จิกมี-สมเด็จพระราชินี-เจ้าชาย-พระธิดา' ในยามค่ำคืนของทะเลทรายโกบี
(คลิป) 'ฐปณีย์' เละคาบ้าน! ด้อยค่าคนไม่เห็นด้วย 'เมียจ่าปืน' ออกโรงตอกกลับไม่ใช่ IO
‘ลาออก’ไปเถอะ! ฉะ‘นายกฯ’มีสติปัญญาแค่นี้ แผ่นเสียงตกร่องชู‘กาสิโน’แก้เศรษฐกิจ
มาแล้ว! กรมอุตุฯคาดหมายอากาศ 7 วันข้างหน้า ตั้งแต่ 4-10 พ.ค.68
หยามเกียรติธงชาติไทย! ทนายแจ้งเอาผิด โพสต์เฟสบุ๊คดูหมิ่น'ธงคือผ้าเช็ดเท้า'
ดูทั้งหมด
อวสาน‘ทักษิณ’คุกรออยู่
ความต่างของ สิงคโปร์ กับ ไทย
คุกนรก (1)
นักการเมือง ‘ส้มสารพิษ’
บุคคลแนวหน้า : 9 พฤษภาคม 2568
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน

แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ

เศร้า! ช้างป่ากุยบุรีขาเจ็บล้มแล้ว สะเทือนใจผลชันสูตร

ปตท. ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มแหล่งอาทิตย์เสริมความมั่นคงพลังงานไทย

'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว

วัฒนธรรมโบราณ! พิธีล้างพระธาตุศรีสองรัก สักขีพยานสัมพันธไมตรีสองแผ่นดิน 465 ปี

  • Breaking News
  • แอดมิทด่วน! \'เอ๊ะ จิรากร\'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ แอดมิทด่วน! 'เอ๊ะ จิรากร'เล่าประสบการณ์หัวใจเต้นผิดปกติ
  • \'อนุสรณ์\'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน 'อนุสรณ์'แนะเปิดใจรับฟังเหตุผลงบรีโนเวตสภาฯ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อน
  • สองผัวเมียอารมณ์ดี! ‘ขายหอยครก 6 ราง’ ทำขายแทบไม่ทัน-ลูกค้าเพียบ สองผัวเมียอารมณ์ดี! ‘ขายหอยครก 6 ราง’ ทำขายแทบไม่ทัน-ลูกค้าเพียบ
  • ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย  3 อำเภอในยะลา ป่วนใต้หลายจุด! จุดไฟเผากล้อง-แขวนป้าย-วางวัตถุต้องสงสัย 3 อำเภอในยะลา
  • \'ทวี\'เผย\'กกต.\'ประสาน\'ดีเอสไอ\'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว 'ทวี'เผย'กกต.'ประสาน'ดีเอสไอ'แปะหมายเรียกหน้าบ้าน 6 สว. คดีฮั้ว
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

ปากแจ๋ว ปากพล่อย อ้างวิชาการบังหน้า

4 พ.ค. 2568

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

ประเทศวิบัติ เพราะนักการเมืองโง่มีอำนาจรัฐ

27 เม.ย. 2568

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

อันวาร์, มิน อ่อง หล่าย, ทักษิณ และแพทองธาร

20 เม.ย. 2568

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

แพทองธารไม่เห็นปัญหา reciprocal tariff

13 เม.ย. 2568

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

แก้ปัญหา US tariff ด้วยสติปัญญาของแพทองธาร!!!

6 เม.ย. 2568

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

แผ่นดินไหว ภัยพิบัติที่รัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมตัว

30 มี.ค. 2568

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

ดูเตอร์เต-ทักษิณ ความเหมือนที่ต่างกันกับสงครามปราบยาเสพติด

23 มี.ค. 2568

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

ทักษิณ ชินวัตร กลัวถูกซักฟอกกลางสภา แต่อยากมีอำนาจการเมือง

16 มี.ค. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved