30 ตุลาคม ที่ผ่านมาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนตอกหน้าสหรัฐ ว่า เป็นพวกบ้าสงคราม “สหรัฐอเมริกาเป็นผู้เสพติดสงคราม ประวัติศาสตร์ สหรัฐอเมริกา มีอายุ 240 ปี แต่สหรัฐอเมริกา อยู่ในภาวะไร้สงครามเพียง 16 ปีเท่านั้น สหรัฐยังได้สร้างฐานทัพทหาร 800 แห่ง ใน 80 ประเทศทุกภูมิภาคทั่วโลก ไม่ว่ากลไกของกองทัพสหรัฐไปที่ไหนผู้คนก็เดือดร้อนไปทั่ว”
คอลัมน์นี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กับโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ประสบการณ์หากินกับข่าวเกือบ 50 ปีที่เริ่มต้นจากตอนปลายสงครามอินโดจีน ไม่เคยพบว่าสหรัฐว่างเว้นจากสงครามเลย ไม่ว่าจะเป็นสงครามรุกรานเลบานอน สงครามรุกรานทำลายล้างประเทศอิรัก ตลอดถึงสงครามรุกรานยึดครองอัฟกานิสถานนาน 20 ปี กลิ่นควันปืนและคาวเลือดจากอัฟกานิสถานยังไม่จางหาย สหรัฐกระโจนเข้าเป็นตัวการสงครามล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ในฉนวนกาซา
ดังนั้น หากศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court; ICC หรือ ICCt) จริงจังดำเนินคดีกับอาชญากรรมสงคราม การ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในฉนวนกาซา ผู้นำรัฐบาลวอชิงตัน ต้องเป็นผู้ต้องหาที่หนึ่งและผู้นำรัฐบาลเทลอาวีฟ ต้องเป็นผู้ต้องหาที่สอง เพราะสมคบกันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ในฉนวนกาซานับหมื่นศพ ถึงแม้ว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันโหดร้ายส่วนใหญ่กองทัพอิสราเอลเป็นผู้กระทำ แต่ ICCt ต้องไม่ลืมว่าสหรัฐคือตัวบงการสำคัญ(mastermind) สหรัฐเป็นผู้สมคบสั่งการให้การฆ่าล้างผลาญให้เกิดขึ้น
พิเคราะห์จากพฤติกรรมของสหรัฐที่ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน กองเรือพิฆาต เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ติดขีปนาวุธนำวิถีมีอานุภาพทำลายล้างสูงไประวังหลังให้ ข่มขู่ คุกคาม ป้องปราม ไม่ให้ใครเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล(Israel Defense Force=IDF) ล้อมฆ่าได้ จึงถือว่าอเมริกาเป็นจำเลยที่ 1 ส่วนอิสราเอลผู้ลงมือสังหารเป็นจำเลยที่สอง
อาจมีคำถามว่าแล้วที่ฮามาสตะลุยข้ามชายแดนกาซาเข้าไปฆ่าอิสราเอลตาย 1,400 ศพ และจับตัวประกันประมาณ 300 คนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ฮามาสเป็นผู้เปิดฉากฆ่าทำลายล้างก่อน ทำไมไม่กล่าวหาว่าเป็นอาชญากรรมสงครามบ้าง พิเคราะห์จากพฤติกรรมของฮามาสถือว่าเป็นการแก้แค้นด้วยโทสะ ในขณะที่คู่ปรปักษ์หลับตาข้างหนึ่งแสร้งทำเป็นเออเร่อประมาทเปิดช่องให้ฮามาส
สางแค้นจนพอใจ เพื่อที่สหรัฐกับอิสราเอลได้ใช้เป็นข้ออ้างในการตลบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ได้โดยใช้ข้ออ้างว่าถูกทำร้ายก่อน
หากพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่คนทั่วโลกตะลึงแทบไม่เชื่อว่าฮามาสจะปฏิบัติการร้ายแรงได้ถึงขนาดนั้น เพราะอิสราเอลได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีกองทัพแข็งแกร่งที่สุดในตะวันออกกลาง อิสราเอลมีไอรอนโดม (Iron Dom) ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ขจัดขัดขวางขีปนาวุธ กระสุนปืนใหญ่ได้ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว ไอรอนโดมสร้างแนวกำแพงสำหรับป้องกันจรวด กระสุนปืนใหญ่ และโดรนได้ เป็นการป้องกันพื้นที่ได้ครอบคลุมถึง 155 ตารางกิโลเมตร นอกจากมีระบบตอบโต้ป้องกันที่ทำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์ มีประสิทธิภาพล้ำสมัยแล้ว ยังมี “มอสซาด” หน่วยข่าวกรองและสืบราชการลับของอิสราเอลที่เลืองชื่อไปทั่วโลก
ในเมื่ออิสราเอลมีระบบป้องกันขัดขวางทำลาย และตอบโต้ที่มีประสิทธิภาพสูงล้ำยุคนำสมัย จึงทำให้เกิดข้อกังขาและสงสัยว่า ทำไมอิสราเอลจึงปล่อยให้ ฮามาส
ปฏิบัติการร้ายอยู่ได้นานกว่าเจ็ดชั่วโมง โดยปราศจากการขัดขวาง ตอบโต้จากไอรอนโดม และกองกำลังพิทักษ์อิสราเอล ไม่มีการเตือนภัยจากระบบการสื่อสารที่ล้ำสมัย
ซึ่งไม่มีประเทศใดในตะวันออกกลางเทียบได้ หรือว่าอิสราเอลและสหรัฐรู้ตั้งแต่นาทีแรกที่ฮามาสบุกข้ามชายแดนไปจากกาซา แต่หากขัดขวางตอบโต้ทันทีจะไม่มีความชอบธรรมพอ ที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือว่าอิสราเอลยังไม่โต้ขัดขวางจนกว่ากองทัพเรือสหรัฐจะเข้าถึงพิกัดทำลายล้างได้ตามที่นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทันทีที่ได้รับรายงานว่า ฮามาส บุกข้ามชายแดนเข้าไปฆ่าอิสราเอลตาย 300 คน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม กองเรือสหรัฐก็เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังตะวันออกกลาง ในครั้งนี้ นำโดยเรือบรรทุกอากาศยาน “ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์.ฟอร์ด” (USS Gerald R. Ford) เรือรบที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีระบบทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งมาพร้อมฝูงเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธนำวิถี 1 ลำ เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถี 4 ลำ และฝูงบินรบ F-35, F-15, F-16 และ A-10
เมื่อกองเรือสหรัฐพร้อมทหาร 5,000 นาย เข้าทอดสมอลอยลำประจำการรบ ในทะเลแดงและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกฯอิสราเอลก็ประกาศสงครามล้างแค้นอย่างโหดเหี้ยมชนิดที่เรียกว่าฆ่าไม่ไว้หน้าจนกว่าฮามาสจะสูญพันธุ์ และเป็นที่น่าสังเกตว่าทันทีที่อิสราเอลบุกถล่มปาเลสไตน์ ศพอิสราเอลที่ถูกฮามาสฆ่าพุ่งขึ้นจาก 300 ศพ เป็น 1,300 ศพ และ1,400 ศพ ตามลำดับ นับเป็นตัวเลขการตายสูงขึ้นอย่างน่าสงสัยในเมื่อฮามาสได้ถอยกลับกาซาพร้อมตัวประกันไปแล้ว เป็นได้ไหมว่าตัวเลขคนตายเพิ่งปรับแต่งให้สูงขึ้นเมื่อกองทัพเรือสหรัฐไปถึงสมรภูมิเลือดแล้ว
ตั้งแต่ตอนบ่ายวันที่ 7 ตุลาคน เป็นต้นมา กองทัพอิสราเอลบุกถล่มฉนวนกาซาบนพื้นที่กว้าง 365 ตารางกิโลเมตร ที่มีชาวปาเลสไตน์ แออัดยัดเยียดกันอยู่ถึง
2.3 ล้านคน ทั้งทางพื้นดิน ทางทะเล และทางอากาศ ท่ามกลางความวิตกกังวลจากประชาคมนานาชาติทั่วโลกที่เรียกร้องให้หยุดถล่มทำลายโรงเรียน โรงพยาบาล ค่ายผู้อพยพ
ตลอดถึงที่อาศัยของพลเรือนปาเลสไตน์
ในเวลาเดียวกันที่ทหารอิสราเอลใช้จรวดปืนใหญ่ ปืนกล เครื่องบินรบทิ้งระเบิด ยิงถล่มกาซาอย่างบ้าเลือดกองทัพเรือสหรัฐที่ลอยลำอยู่ในทะเลแดง และในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็คอยขจัดขัดขวางขีปนาวุธจากเยเมน เลบานอน และซีเรียที่พุ่งเป้าหมายไปยังอิสราเอล ในบางครั้งจรวดจากกองทัพเรือสหรัฐก็ยิงไปยังเป้าหมายในประเทศเลบานอน ซีเรีย อิรัก
เมื่อมีกองทัพเรือสหรัฐคอยระวังหลัง และป้องปรามไม่ให้กองกำลังฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรของฮามาสในประเทศเลบานอน ซีเรียและในประเทศอิหร่านโจมตีอิสราเอลได้กองทัพอิสราเอลก็เดินหน้าถล่มกาซาอย่างโหดร้ายผิดมนุษย์มนา อิสราเอลถล่มทั้งโรงพยาบาล ค่ายผู้อพยพ และขบวนผู้คนที่หนีตายลงไปทางใต้กาซา เรียกได้ว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัยให้สำหรับชาวปาเลสไตน์ ในห้วงเวลาหนึ่งเดือนแห่งความโหดร้ายชาวปาเลสไตน์ถูกล้อมฆ่าตายไปแล้ว
กว่า 10,000 คน
เลขาธิการสหประชาชาติ ตลอดถึงประชาคมนานาชาติเรียกร้องให้หยุดยิงหยุดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ สหรัฐอเมริกาที่ถูกประชาชนทั่วโลกชี้หน้าว่า เป็นหนึ่งในตัวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พูดแก้เก้อว่า Pause for Humanitarian หรือ “หยุดเพื่อมนุษยธรรมชั่วคราว” นายไบเดน คงเกรงใจอิสราเอลถึงไม่กล้าพูดคำว่า Ceasefire ซึ่งมีความหมายหนักแน่นกว่าว่า “หยุดยิง” แต่นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ และ นายเนทันยาฮู เข้าใจได้ว่า นายไบเดน หมายถึงหยุดยิงชั่วคราว นายเนทันยาฮู ตอบสนองเสียงกร้าวว่า “ไม่มีการหยุดยิงจนกว่าตัวประกันอิสราเอลทุกคนได้รับการปล่อยตัวกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย” นายบลิงเคนพูดสนับสนุนเนทันยาฮูโดยกล่าว “การหยุดยิงอาจเปิดโอกาสให้ฮามาสและพันธมิตรผู้ก่อการร้ายรวมตัวกันเพื่อต่อสู้รบกับอิสราเอล”
ถึงจุดนี้อิหร่านผู้สนับสนุนฮามาสเริ่มเคลื่อนไหวเป็นสัญญาณว่า ปล่อยให้พลเรือนปาเลสไตน์ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไปไม่ได้ สื่อทางการของอิหร่านเผยแพร่ภาพ/ข่าวการพบปะเจรจาระหว่าง อะยาตอเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำอิหร่านกับนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำฮามาส สื่ออิหร่านไม่ได้ให้รายละเอียดว่าทั้งสองได้หารือกันเรื่องใด เพียงแต่รายงานว่า อะยาตอเลาะห์ อาลี คาเมเนอี แสดงความกังวลต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ และต้องหยุดยั้งการฆ่าล้างผลาญพลเรือนปาเลสไตน์ในทันที
เมื่ออิหร่านซึ่งเป็นผู้สนับสนุนฮามาสและเป็นคู่ปรปักษ์สำคัญของอเมริกา ส่งสัญญาณว่ายังสนับสนุนฮามาสต่อไป สหรัฐก็ส่งสัญญาณการสนับสนุนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์ในทันทีเช่นกัน โดยการออกข่าวว่า สหรัฐได้ส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถีไปถึงตะวันออกกลางแล้ว
เป็นการประกาศพิกัดเรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถีอย่างออกหน้า ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนของกองทัพสหรัฐ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม กระทรวงกลาโหมสหรัฐแถลงว่า “เรือดำน้ำติดขีปนาวุธนำวิถีไปถึงตะวันออกกลางแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่า การแถลงข่าวส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ บรรทุกขีปนาวุธนำวิถีที่อานุภาพทำลายล้างร้ายแรงสูงไปในสมรภูมิรบเป็นการส่งสารจากรัฐบาลโจ ไบเดน ไปถึงคู่ปรปักษ์ในภูมิภาค ให้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมสงครามกับฮามาส
ซีเอ็นเอ็น ให้รายละเอียดว่า เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธนำวิถีของกองทัพสหรัฐมี 4 ลำ แต่ละลำติดขีปนาวุธนำวิถี โทมาฮอว์ก 154 นัด โทมาฮอว์ก
แต่ละนัด บรรจุหัวกระสุนระเบิดทำลายล้างสูงถึง 1,000 ปอนด์ ซีเอ็นเอ็นไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเรือดำน้ำอันตรายเหล่านี้อยู่ในตะวันออกกลางทั้งสี่ลำหรือไม่ และรายงานด้วยว่านายลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐกล่าวว่า “นอกเหนือจากความจำเป็นปกป้องพลเรือน และจัดหาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกาซา สหรัฐยึดมั่นต่อการป้องปราม รัฐหรือองค์กรนอกรัฐที่ไม่ใช่ตัวละครซึ่งมีบทบาทใดๆ ขยายความขัดแย้ง” คำพูดของนายออสตินเป็นที่ชัดเจนว่า หมายถึงปรามอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์
ที่อิหร่านสนับสนุนอาวุธ
พฤติกรรม คำพูด และการกระทำของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ประจักษ์ว่า สหรัฐยังคงสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป สหรัฐยังคงระดมกองทัพส่งอาวุธมีอานุภาพทำลายล้างสูงไปป้องกันอิสราเอลและป้องปรามคู่ปรปักษ์ที่สนับสนุนฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ไม่ให้เข้ามาขัดขวางการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์
จึงควรที่ศาลอาญาระหว่างประเทศต้องสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา “อาชญากรรมสงครามต่อมนุษยชาติ”ต่อผู้นำรัฐบาลวอชิงตันเป็นจำเลยที่หนึ่ง และสอบสวนดำเนินคดีต่อผู้นำรัฐบาลเทลอาวีฟเป็นจำเลยที่สอง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี