แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...■■ การเสียสละทำงาน ทำดีเพื่อการสร้างสรรค์ ด้วยความรับผิดชอบเต็มที่นั้นช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้รับผลดีอย่างหนึ่งคือมีผู้ศรัทธาเชื่อถือ และนิยมยกย่องอย่างกว้างขวาง บุคคลเหล่านั้นเมื่อศรัทธาเชื่อถือในตัวผู้ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมจะรับเอาความคิดจิตใจของผู้ปฏิบัติดีที่นิยมยึดมั่นในความดีเข้าไว้ด้วย แล้วน้อมนำมาปฏิบัติชอบปฏิบัติดีด้วยตนเอง ดังนี้ ก็จะมีผู้ศรัทธาในความดีเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เมื่อคนส่วนใหญ่มีศรัทธาความเชื่อมั่นในคุณความดีร่วมกันและเสมอกันแล้ว ก็จะเกิดเป็นความสามัคคีปรองดองเป็นปึกแผ่นขึ้น ความสามัคคีเป็นปึกแผ่นนี้คือกำลังอันแข็งกล้าที่สุดในแผ่นดิน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะบันดาลให้คนในชาติมีสมานฉันท์ มุ่งมั่นที่จะร่วมกำลังกันสร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงของบ้านเมือง ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ขึ้นทุกสถาน... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 11 กรกฎาคม 2514)...
■■ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 โดยการเยือนครั้งนี้ทั้งไทยและกัมพูชาได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน 5 ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือเหตุฉุกเฉิน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการผ่านแดนสินค้าระหว่างกรมศุลกากร บันทึกความเข้าใจระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยและหอการค้ากัมพูชา เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชา และบันทึกความเข้าใจระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้ากัมพูชา น่าสังเกตว่าไม่มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันในประเด็นพี้นที่ทับซ้อนทางทะเล ทั้งๆ ที่น่าจะนำเรื่องนี้มาหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ เพราะอย่าลืมว่ารัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน คือรัฐบาลที่หลายคนรู้ดีว่ามีเงาอยู่ข้างหลังคือนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร แล้วนักโทษชายทักษิณสนิทชิดเชื้อเป็นอย่างมากกับฮุนเซน พ่อของฮุน มาเนต...
■■ มีคำถามว่า เศรษฐา ทวีสิน กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทั้งสองรายนั้น ใครบินไปต่างประเทศมากกว่ากัน จากข้อมูลทางการเมืองที่เชื่อถือได้ระบุว่าในระยะเวลาที่ยิ่งลักษณ์อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ประมาณ 2 ปี เธอบินไปต่างประเทศ 52 ครั้ง ไปกว่า 41 ประเทศ ใช้งบประมาณไปมากมายมหาศาล ส่วนเศรษฐาอยู่ในตำแหน่งนายกฯ มาตั้งแต่ช่วงค่อนไปทางเดือนสิงหาคม 2566 จนถึงขณะนี้เดือนกุมภาพันธ์ 2567 เดินทางไปต่างประเทศมาแล้วมากกว่า 12 ครั้ง แค่เศรษฐาอยู่ในตำแหน่งเพียงประมาณครึ่งปี ปรากฏว่าเศรษฐาบินไปแล้วกว่า 10 ประเทศ ดูๆ แล้วเศรษฐาน่าจะล้มแชมป์นายกฯ ไทยเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุดได้ในเร็วๆ นี้ หากเศรษฐาอยู่ในตำแหน่งนานเท่ายิ่งลักษณ์ ก็น่าจะล้มสถิติเดินทางไปต่างประเทศที่ยิ่งลักษณ์ทำไว้ได้โดยไม่ยากไม่เย็นไม่เป็นปัญหาบังเอิญเกิดมาเป็นคนชอบบิน...
■■ มีความคืบหน้าเรื่องการเปิดอภิปรายรัฐบาลโดยสมาชิกวุฒิสภาแต่ไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 153 ล่าสุด มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะวิปคณะรัฐมนตรีให้ข่าวว่ารัฐบาลจะให้มีการอภิปรายในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ส่วน สว.อยากให้มีการอภิปรายวันที่ 18 มีนาคม แต่รัฐบาลบอกว่าไม่สะดวกในวันที่ สว.ต้องการ เพราะมีการประชุม ครม. สัญจรที่พะเยา แต่เท่าที่นักข่าวถามมนพรว่าแล้วตกลงจะให้อภิปรายกี่วัน ปรากฏว่าเรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบชัดๆ แต่ก็คาดกันว่ารัฐบาลน่าจะให้อภิปรายแบบเสียไม่ได้เพียงวันเดียวเท่านั้น ส่วน สว.ที่เข้าชื่ออภิปรายมีเกือบร้อยคนจะไปตกลงกันอย่างไร ก็เรื่องของ สว. รัฐบาลไม่สนใจ...
■■ สส.ก้าวไกล อย่างเช่น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัยธวัช ตุลาธน และ ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ เป็นต้น กำลังเล่นบทว่าตนเองเกิดความสับสนกับหลักการตรวจสอบและค้านอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการ ทั้งๆ ที่หลักการนี้เกิดมานานแสนนานแล้ว บอกตรงๆ ว่าเกิดมาก่อนที่พรรคก้าวไกลจะตั้งขึ้นมา และก่อนที่เหล่า สส.ก้าวไกลจะถือกำเนิดบนโลกใบนี้ เหตุที่ก้าวไกลไม่พอใจศาลก็เพราะหลังจากที่ก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครองฯ อันเนื่องมาจากการกระทำโดยตรงของพรรคก้าวไกล และ สส.ก้าวไกล แต่ก้าวไกลพอใจมากที่ศาลไม่ตัดสิทธิ์การเป็น สส.ของพิธา ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นไอทีวี ดังนั้น ก้าวไกลจึงตีวาทะกลางสภา เมื่อวันพุธว่า สส.จะต้องขออนุญาตศาลรัฐธรรมนูญก่อนหรือไม่ ในกรณีที่ต้องยื่นเรื่องเพื่อขอแก้ไขกฎหมายในอนาคต...
■■ อันที่จริงคำตอบเรื่องนี้เป็นหลักพื้นฐานที่คนเป็น สส. ต้องเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่า การแก้หรือเสนอกฎหมายใดๆ ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น หากไม่จงใจทำเรื่องขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็ทำไปเถอะ อย่าไปทำเล่นลิ้น ร้อยลิ้นตีวาทะให้คนเขาสมเพชเลย ถามจริงๆ เถอะ การได้เป็น สส. ทั้งทีไม่คิดจะทำสิ่งที่ถูกตามหลักรัฐธรรมนูญบางหรือ หรือว่าอ่านรัฐธรรมนูญไม่แตก หรือว่าไม่เคยอ่าน หรือเข้าใจดี แต่ก็ยังจงใจตีรวน...
■■ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็น สส.มานานมากแล้ว นานจนอาจจะเป็น สส.ได้อีกไม่กี่สมัยหลังจากนี้ เพราะสังขารไม่อำนวย ก็ไม่พยายามชี้แจงให้ สส.ก้าวไกลเข้าใจหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างฝ่ายตุลาการกับฝ่ายนิติบัญญัติ อันที่จริง วันนอร์ต้องชี้แจงให้ สส.จำพวกปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้าใจด้วยว่า อะไรคือความสำคัญของหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล ไม่ใช่ปล่อยให้ สส. อ่อนโลกและกร่างเกินงามพล่ามเพ้อแสดงความน่าสังเวชกลางสภาตลอดเวลา เพราะมันทำให้ความน่าเชื่อถือของสภาผู้แทนราษฎรหายไปจนไม่สามารถสร้างศรัทธาจากวิญญูชนได้อีก...
■■ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน 3 แห่งคือสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา ระยะทาง 220 กิโลเมตร วงเงินงบประมาณ 224,544 ล้านบาท โครงการนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าของ และบริษัท เอเชีย เอรา วัน บริษัทในเครือ CP เป็นคู่สัญญา ได้รับสัมปทานโครงการระยะเวลา 50 ปี ลงนามในสัญญาไปเมื่อ 24 ตุลาคม 2562 โครงการนี้หยุดชะงักและล่าช้ามาแล้วประมาณ 2-3 ปี เพราะว่ามีการแก้ไขสัญญาระหว่างบริษัทเอกชนผู้รับสัมปทานกับภาครัฐ ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่าเรื่องนี้ผ่านรัฐบาลมาแล้วสองชุด คือรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับปัจจุบันคือรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ทั้งนี้ระยะเวลาของบัตรส่งเสริมการลงทุนที่เอกชนได้รับได้ถูกขยายเวลาไปแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดหมดอายุไปเมื่อ 22 มกราคม 2567 ส่วนการจะต่ออายุบัตรส่งเสริมการลงทุนเป็นครั้งที่ 4 จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือไม่นั้น ตอบได้ ณ ขณะนี้ว่า BOI ยังไม่ต่ออายุให้ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องเฝ้าสังเกตกันต่อไป...
■■ ล่าสุดสาธารณชนมีคำถามว่า แล้วเมื่อไรโครงการนี้จะเสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ข่าวที่หลุดรอดออกมาคือ บริษัท เอเชีย เอรา วันของ CP แสดงท่าทางว่าจะไม่ทำโครงการต่อหากไม่ได้รับการต่ออายุบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ทางด้าน จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) บอกว่า EEC ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาโครงการนี้กับเอกชนได้ แต่ผู้มีอำนาจจัดการเรื่องนี้คือการรถไฟแห่งประเทศไทยในฐานะคู่สัญญาโดยตรงกับเอกชนผู้ได้รับสัมปทานก่อสร้างโครงการ...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี