l บทสรุปผู้บริหาร และผู้ที่สนใจเอาจริงกับการวิเคราะห์และนำประวัติศาสตร์ไปใช้เพื่อการปฏิรูปประเทศเราได้มาร่วมกันสร้างความเข้าใจ “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖”
l 3. บทสรุปของประวัติศาสตร์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
(1) เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ที่นักศึกษาประชาชน มีบทบาทสำคัญ ๑ ในการต่อสู้กับเผด็จการ เพื่อให้ได้มาซึ่ง รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยไทยในระดับที่แน่นอนหนึ่ง
ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทย ถูกกำหนดโดย คนชั้นบนในสังคมไทยในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ โดยสถาบันพระมหากษัตริย์และยุคต่อมา ที่เป็นหลักสำคัญ คือ “คณะราษฎร์ กองทัพฯ”ยุคต่อมา “พรรคการเมือง นักการเมืองใหญ่ และนายทุนใหญ่นายทุนสามานย์ฯ” อีกทั้งมีการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจในบางระดับมาตลอดฯ ประชาชน เป็นตัวประกอบ หรือ ผู้ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลง
@ แต่ครั้งนี้ นักศึกษาประชาชนเป็นพื้นฐานและจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ในสังคมไทย และการได้รับการยอมรับจากทางสากลซึ่งหลายประเทศได้นำไปใช้ หรือเลียนแบบ
นี่คือ “หัวใจสำคัญ” ของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
(2) การประเมินบทบาทที่เป็นจริงและถูกต้องของ “นักศึกษาประชาชน” ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ต้องประเมินตามบทบาทที่แท้จริง ไม่มากไป หรือน้อยไป ซึ่งไม่ง่ายเลย
๑. มี ๒ แนวคิด ซึ่งสะท้อนออกมาจาก “ผู้นำนักศึกษาบางส่วน” และ “นักการเมืองนักวิชาการบางส่วน”
หนึ่ง ผู้นำนักศึกษาบางส่วน ที่ร่วมในเหตุการณ์ และหลังจากนั้น ยกบทบาทนักศึกษายิ่งใหญ่ ว่า “การเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” เกิดจากนักศึกษาประชาชนส่วนอื่นๆ เป็นองค์ประกอบรอง
สอง นักการเมืองนักวิชาการบางส่วน กล่าวอ้างว่า “นักศึกษาประชาชน เป็นตัวประกอบ” ความสำเร็จของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๑๕๑๖ มาจาก “พวกเขา นักการเมืองและกลุ่มนายทหารใหญ่” (พี่อุทัย พิมพ์ใจชน และพวก และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ)
ข้อสรุปจากความเป็นจริง คือ พลังของนักศึกษาประชาชนใน ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ มีบทบาทและฐานะที่แน่นอน ที่มีคุณูปการต่อสังคมไทย เป็น ผู้เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงและเป็นพลังพื้นฐานของ ปัจจัยความสำเร็จและชัยชนะของประชาชน (เพราะถ้าไม่มี “การลุกขึ้นสู้ของนักศึกษาประชาชน” ก็จะไม่มีเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงฯ “รัฐบาลจอมพลถนอม ประภาส ณรงค์” ก็ยังจะอยู่ในอำนาจต่อและพลังกองทัพฝ่ายพลเอกกฤษณ์ สีวะรา และพวก “ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. เมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๖” ยังมีฐานะบทบาทและพลัง เป็นรอง เมื่อเทียบกับ ฝ่ายจอมพลถนอม ประภาส ณรงค์ ที่ครองอำนาจมายาวนาน)
แต่เนื่องจากเป็นครั้งเริ่มต้นของนักศึกษาประชาชน ที่มีพลังก่อการฯได้ แต่ยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ทางการเมือง มีประสบการณ์ยังไม่มากพอ มีกำลังและปัจจัยจำกัด ไม่มากพอ ที่จักสามารถเป็นพลังเดียวในการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงเท่านี้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการสร้างประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยครั้งสำคัญ คือ ก่อให้เกิด เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่เริ่มก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประชาชนไทย
สาม ตัวชี้วัดของบทบาทพลังของการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง คือ
(๑) ใคร ฝ่ายใด ที่ได้รับบทบาทฐานะ หรือมีบทบาทในการบริหารประเทศ คือผู้มีบทบาทแท้จริง ผู้เข้ามามีอำนาจ และมีส่วนร่วมในอำนาจ มิใช่ผู้นำนักศึกษาประชาชน แต่เป็นฝ่ายหรือส่วนอื่น
(๒) ความเข้าใจในฐานะบทบาทหน้าที่ของผู้นำนักศึกษาฯที่ร่วมก่อการและร่วมนำการเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้มีประสบการณ์และความจัดเจนทางการเมือง มีบางส่วนคิดว่า “รัฐธรรมนูญ คือ ประชาธิปไตย” และเมื่อได้รัฐธรรมนูญมาแล้ว ก็คือ ได้ประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง แล้ว ประชาชนก็ได้แล้วซึ่งผู้นำนักศึกษาฯบางคน ได้สรุป (หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปยาวนาน และตนมีบทบาทและประสบการณ์)ว่า “เป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองของนักศึกษาฯในยุคนนั้น”
(๓) บทบาทของฝ่ายผู้นำนักศึกษาประชาชน หลังจากเหตุการณ์
มีบทบาทจำกัด เพราะ “เจตจำนงใหญ่ บริสุทธิ์ ได้นำและเข้าร่วม เพื่อให้รัฐบาลคืนรัฐธรรมนูญให้ประชาชน” เมื่อมีรัฐบาลใหม่(นายกสัญญา ธรรมศักดิ์) และได้มีมาตรการ และหลักประกันในการคืนรัฐธรรมนูญฯ ผู้นำส่วนใหญ่ ก็หยุดบทบาทหน้าที่ และมีบางส่วนที่ไปเข้าร่วมหรือจัดตั้งองค์กร พรรคการเมืองมาทำหน้าที่ผู้นำบางส่วนที่มีปีกความคิดซ้ายจัด ที่สังกัดการนำของพคท.ปีกซ้ายจัดในเมือง ที่มีบทบาทเข้าครอบงำขบวนการนักศึกษาประชาชน และนำไปในทางเสียหายใหญ่ โดยสรุป บทบาทนักศึกษาฯมีทั้งบทบาทที่เป็นคุณ และมีโทษ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมา
อ่านเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ (ตอนต่อไป)
(3) กระบวนการ ขั้นตอน จังหวะก้าว มีการเริ่มต้น สะสม พัฒนา มาจาก “การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย”ที่หลายฝ่ายมีส่วนเริ่ม และพัฒนา มาเป็นลำดับ ตั้งแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ คณะราษฎร กองทัพฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทางตรง คือ การมีเจตนารมณ์ ในการเปิดโอกาส ให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไทย ได้เข้ามาร่วมพัฒนาประชาธิปไตย ในรูปแบบต่างๆ
ทางอ้อม คือ ผลของการตัดสินใจ ดำเนินการ ในการขยาย พัฒนา เศรษฐกิจ การศึกษา (ตั้งมหาวิทยาลัยฯ) และสังคมไทย ให้ก้าวหน้าพัฒนา ให้ทันสมัย ให้ทันกับต่างประเทศ
การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่งนักศึกษา ไปเรียนต่อในต่างประเทศ ตั้งแต่ยุคก่อนหลังคณะราษฎรการก่อตั้งมหาวิทยาลัยทั้งจุฬาลงกรณ์ ๒๖ มีนาคม ๒๔๖๐ และธรรมศาสตร์ ปี ๒๔๗๗ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ตามมาในช่วงทศวรรษที่ ๒๔๙๐ ความคิดมาร์กซิสต์ตะวันตกได้ขยายตัวโดยเฉพาะในหมู่ปัญญาชนฝ่ายซ้ายการชุมนุมเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งสกปรก ปี ๒๕๐๐ รวมทั้งนโยบายประเทศมหาอำนาจ ที่แบ่งเป็นขั้วในสังคมโลก ที่ต้องการดึงประเทศไทยเข้าเป็นพวกที่ผลักดันให้ผู้บริหารประเทศไทยให้รับแนวคิด แนวทางนำเข้ามา เช่น แผนสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปี ๒๕๐๔ และ ฯลฯ การก่อตั้ง “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปี ๒๕๑๒”
อาจกล่าวได้ว่า “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” เป็นผลผลิตส่วนหนึ่งของสังคมไทยจากยุคก่อนหน้าและพลังของนักศึกษาประชาชน และส่วนที่เกี่ยวข้องฯ ในเหตุการณ์
(4) บทบาทของผู้นำนักศึกษาไทยและผู้นำประชาชนในบางส่วน ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฯ เป็นการสะสมทางปริมาณ และทางความคิด ที่สะสมและส่งต่อมาจากรุ่นหนึ่งมาสู่รุ่นหนึ่ง
• พลังการนำของผู้นำนักศึกษาที่คุมการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งนี้ เป็นอีกประกาศหนึ่ง ที่น่าศึกษา เป็นบทเรียน คือ
(๑) พลังการนำของผู้นำนักศึกษาในครั้งนั้น มี ๒ กลุ่ม
หนึ่ง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่เป็นผู้นำทางการ มีฐานจากนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
สอง กลุ่มอิสระ และรวมถึง “ผู้นำการชุมนุมฯ ที่บัญชาการรถบัญชาการฯ”
ช่วงแรก ตั้งแต่ การเคลื่อนไหว จนมาถึงวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในช่วงค่ำ มีความเป็นเอกภาพกันอยู่
แต่ในช่วงค่ำ เริ่มมีความขัดแย้งทางความคิดและการนำฯ ระหว่าง “ผู้นำศนท. และผู้นำรถบัญชาการ ”แต่สามารถคลี่คลายในช่วง “การประกาศยุติการชุมนุม เพราะ ข้อเรียกร้องได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล” แต่หลังจากนั้น มีการสั่งการของผู้นำตำรวจฯ ให้ยิงแกสน้ำตา และทุบตีนักศึกษาประชาชนฯจากนี้ไป “ผู้นำประชาชนหลากหลาย” ได้ดำเนินการอย่างอิสระ ในการต่อสู้กับรัฐบาล แต่ก็มาหยุดลง หลังจาก มีพระราชดำรัสของในหลวง ตอนค่ำของวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และผู้นำนักศึกษาฯ ตัวแทนของศนท. ใช้รถประชาสัมพันธ์ของรัฐ ตระเวนประกาศให้ประชาชนทราบ
(๒) บทบาทสำคัญที่มีการคิดก้าวหน้า สะสมผลงาน จนเป็นที่ยอมรับของนักศึกษานักเรียนและประชาชน มาจากผู้นำนักศึกษาที่มีความคิดก้าวไกล
องค์กรนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ มีบทบาทอย่างแน่นอนในแต่ละมหาวิทยาลัยและเมื่อเกิด การก่อตั้งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ปี ๒๕๑๒ เป็นการก่อเกิด “ขบวนการของนิสตินักศึกษาที่เชื่อมโยงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเข้ามาร่วมกัน” แต่ปัจจัยสำคัญหนึ่ง คือ “ผู้นำของศนท. และมหาวิทยาลัยในยุคนั้น” เพราะเลขาธิการ ศนท.คนที่ ๑ และ ๒ มีบทบาทจำกัด
จนก้าวขึ้นมา ในสมัยที่อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ได้รับเลือกตั้งเป็น “เลขาธิการ คนที่ ๓ ปี ๒๕๑๕” ได้เริ่มขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและขั้นตอน ค่อยๆ สร้าง “การยอมรับการนำ และเรื่องราวการต่อสู้ของนักศึกษา” มาอย่างต่อเนื่องในช่วงแรกๆของการเข้ามามีบทบาทและตามมาด้วย ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์เลขาธิการ คนที่ ๔ ปี ๒๕๑๖ รวมทั้งตัวนายกสโมสรของมหาวิทยาลัยหลายคน เช่น ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล คุณพีรพลตรียะเกษมฯ และรวมทั้ง “บทบาทขององค์กรอิสระในมหาวิทยาลัยต่างๆ” ที่ขึ้นกับผู้นำขององค์กร (เช่น สภาหน้าโดมธรรมศาสตร์ กลุ่มฟื้นฟูโซตัสใหม่จุฬา กลุ่มต่อต้านญี่ปุ่น ม.เกษตรกลุ่มอิสระของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหิดล รามคำแหง ฯลฯ) เช่น ดร.เสกสรร ประเสริฐกุล ฯลฯ ที่ได้ก่อเกิด และพัฒนามาตลอด ตามยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี